ท่องเที่ยวเมืองจันทบุรี “ยุทธศาสตร์ยิ่งใหญ่ ความตั้งใจเด็ดเดี่ยว มื้อนี้เราจะเคี้ยวข้าว และทุบหม้อข้าว ตีแหกฝ่าวงล้อม ลุยพม่าข้าศึก นึกถึงความเป็นไทย ดีกว่าไปเป็นทาส สองมือถือดาบอย่างมั่นใจ นักรบไทยของพระเจ้าตาก ฝากฝังกรุงอยุธยา วันข้างหน้าข้าจะมาทวงคืน" วันหยุดสุดสัปดาห์ วันหยุดยาว วันลาพักร้อน ที่จะถึงนี้ไปบุกเมืองจันทบุรีด้วยกัน ด้วยเนื้อเพลงข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของบทเพลง “เจ้าตาก” ซึ่งวงคาราบาวได้แต่งและร้องขึ้นเพื่อส่งเสริมการรักชาติ และเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้กอบกู้เอกราชจากการเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่ 2 ในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ (คาราบาว, 2529) พอเพลงนี้ขึ้น เพื่อนๆอาจสงสัย เอามาทำไมจริงๆ คือจะพาไปเที่ยวเมืองจันทบุรี เมืองจันทบุรีไม่ได้มีเพียงทะเลที่สวยงาม มีถนนที่ทอดยาวรูปตัว “S” และถูกขนานนามให้เป็นSignature ของเมืองจันทบุรี อีกทั้งยังเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่ใครหลายคนหลงใหล ด้วยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของ ”พระเจ้ากรงธนบุรี (พระเจ้าตากสินมหาราช)” ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์พระเจ้าตากสินได้ใช้เมืองจันทบุรีเป็นที่รวบรวมไพร่พลและเสบียงอาหาร เพื่อเคลื่อนพลกอบกู้เอกราชจากพม่าในช่วงประเทศไทยกำลังจะเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 อีกทั้งรัชสมัย “พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3)” แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้เกิดสงครามอานันสยามยุทธ (สงครามไทย - เวียดนาม) เนื่องจากจันทบุรีเป็นเมืองที่อยู่ใกล้ประเทศกัมพูชา (อาณาจักรขอม) เกิดความขัดแย้งภายในโดยภายในขอมแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งหันมาหาประเทศไทย อีกฝั่งหนึ่งหันไปหาประเทศเวียดนาม จึงเป็นเหตุให้รัชกาลที่ 3 จึงยึดเมืองจันทบุรีเป็นฐานที่มั่นในการทำสงครามแย่งชิงประเทศกัมพูชาจากประเทศเวียดนาม โดยมีเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนีย์) และเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) ร่วมทำการรบด้วย หลังจากรัชกาลที่ 3 แล้ว เมืองจันทบุรีเกือบตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสในช่วงเกิด “วิกฤตการณ์ปากน้ำ” (ร.ศ.112) ซึ่งตรงกับรัชสมัย “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)” เมืองจันทบุรี นอกจากจะเป็นเมืองประวัติศาสตร์แล้วยังได้ชื่อว่าเป็นเมืองเกษตรผลไม้ ด้วยสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศที่เอื้อกับกการปลูกผลไม้ทั้ง มังคุด ทุเรียน (ราชินี – ราชาผลไม้ไทย) สละ และเงาะ ที่สำคัญยังเป็นเมืองหลวงแห่งอัญมณีของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลอย ไพลิน บุษราคัม ทับทิมสยาม เป็นต้น เมืองจันทบุรีเป็นเมืองทางภาคตะวันออกที่อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครเพียง 245 กิโลเมตร ขับรถยนต์จากกรุงเทพประมาณ 3 ชั่วโมง เมื่อขับรถมาถึงเมืองจันทบุรีสิ่งที่แลกเพื่อเป็นการเอาฤกษ์เอาชัย เข้าไปสักการะศาลหลักเมือง และศาลพระเจ้าตากสิน ศาลหลักเมืองจันทบุรี และศาลพระเจ้าตากสิน อยู่ด้านหน้าค่ายตากสิน ตัวศาลหลักเมืองไม่ได้มีหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่เป็นเพียงข้อสันนิษฐานว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินทรงสร้างไว้เพื่อเป็นสถานที่สำหรับไว้รวบรวมไพร่พลและกองเสบียงอาหารเพื่อยกทับไปกอบกู้กรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 โดยสมัยก่อนที่สร้างครั้งแรกเป็นศาลไม้ ตั้งอยู่ระหว่างต้นข่อยใหญ่ ต่อมาในปีพ.ศ. 2524 ทางจงหวัดได้ทำการบูรณะใหม่ เป็นอาคารทรงไทยแบบจัตุรมุข ประดับรอบๆด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีน (ระบบฐานข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดจันทบุรี, 2563) ส่วนศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน (ศาลพระเจ้าตากสิน) ในปี 2463 ม.จ. สฤษดิเดชชยางกูร ได้สร้างศาลหน้าค่ายทหารกองพันนาวิกโยธิน ปัจจุบันเป็นทรง เก้าเหลี่ยม หลังคาเป็นรูปพระมาลา ด้านในประดิษฐานรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่หล่อด้วยทองเหลืองรมดำ ด้วยสมเด็จพระเจ้าตากสินได้ใช้เมืองจันทบุรีเป็นฐานที่มั่น รวบรวมไพร่พล และยกทับไปกอบกู้กรุงศรีอยุธยาได้สำเร็จ ทำให้คนเมืองจันทบุรี ยกย่องท่าน ผูกพัน และมองเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เปิดให้บริการ 6.00 น. – 20.00 น. (ระบบฐานข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดจันทบุรี, 2563) สถานที่ต่อมาเป็นสถานที่ที่ได้รับคำยกย่องว่าเป็นโบสถ์คริสต์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และมีความสวยงามที่สุดในแบบตะวันตกผ่านสถาปัตยกรรมแบบโกธิก รอบโบสถ์ใช้กระจกเป็นตัวถ่ายทอดรูปนักบุญต่างๆ ภายในมีรูปปั้นของพระแม่มารีอาประดับพลอย สถานที่นี้อยู่ไม่ไกลจากชุมชนจันทบูร นั่นคือ อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสินธินิริมล โบสถ์คริสต์แห่งเมืองจันทบุรีนี้ หลายคนขนานนามให้เป็น Landmark แห่งการถ่ายรูป บริเวณภายในโบสถ์ใครต้องการเข้าไปเยี่ยมชมความสวยงามภายในโบสถ์จะต้องมาถึงก่อน 14.00 น. เนื่องจากโบสถ์แห่งนี้เปิดให้บริการตั้งแต่ 8.30 น. – 14.00 น. (wikipedia, 2563) จากวัดของศาสนาคริสต์ เรากลับมาไหว้พระของศาสนาพุทธบ้าง วัดนี้เดิมเป็นเพียงสำนักปฏิบัติธรรมที่ถือว่ามีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมแห่งหนึ่งของจันทบุรี เนื่องจากมีความสะดวกสบายในการจอดรถที่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก การจะขึ้นไปทำบุญก็มีรถรางคอยให้บริการสำหรับผู้ที่เดินไม่ไหว ส่วนคนที่อยากออกกำลังกายขอแนะนำให้เดินขึ้นทางบันไดนาค ด้านบนจะขึ้นไปกราบสักการะพรุพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ทำด้วยศิลา ภายในอาคารเข้าไปจะพบกับพระพุทธรูปทั้งเนื้อสำริด ทั้งที่เป็นหินอ่อน และพระเกจิอาจารย์ที่ทางวัดปั้นเป็นหุ่นขี้ผึ้งเสมือนจริง ของเก่าของโบราณเช่นเครื่องช่างทองโบราณอายุกว่า 100 ปี และที่ขาดไม่ได้คือต้องกราบสรีระของพระผู้ก่อตั้งวัดหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย วัดเขาสุกิมถูกสร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2509 ตั้งอยู่อำเภอท่าใหม่ ห่างจากตัวเมืองจันทบุรีประมาณ 20 กิโลเมตร เปิดให้บริการ 6.00 น. – 18.00 น. (Tourism Authority of Thailand, 2563) จากนั้นเราไปต่อด้วยวัดจีนที่ได้ชื่อว่าเป็น 1 ในส่วนประกอบของมังกรที่มีหัวอยู่วัดเล่งเน่ยยี่ หรือวัดมังกรกมลวาส กรุงเทพฯ และวัดจีนประชาสโมสร หรือวัดเล่งฮกยี่ จ.ฉะเชิงเทรา ใครเคยไปไหว้เจ้าแม่กวนอิม ที่วัดเล่งเน่ยยี่ 2 แล้วบรรยากาศวัดนี้จะคล้ายกับวัดเล่งเน่ยยี่ 2 วัดเล่งฮั่วยี่ หรือ วัดมังกรบุปผารามเป็นวัดจีนนิกายมหายาน สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2520 หน้าวัดเป็นศิลปะแบบจีน ลานด้านหน้าเป็นลานกว้างมีเจ้าแม่กวนอิมกลางบ่อน้ำ เป็นสถาปัตยกรรมไทย – จีน ด้านในมีพระอุโบสถทรงจีน หลังคาซ้อน 3 ชั้น วัดนี้อยู่ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี ภายในวัดบรรยากาศเงียบสงบ เหมาะสำหรับผู้ที่จะมาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ โดยทางวัดจะเปิดให้บริการนักท่องเที่ยว ตั้งแต่ 6.00 น. – 18.00 น. ออกจากไหว้พระก็พาเด็กๆมาเที่ยวต่อโอเอซีส ซีเวิลด์ (Oasis Sea World) พาเด็กมาตื่นตาตื่นใจกับการแสดงของปลาโลมา ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นที่แรกที่เป็นสถานที่ฝึกปลาโลมาเพื่อแสดง ซึ่งที่โอเอซีส ซีเวิลด์ มีโลมา 2 สายพันธุ์คือ โลมาปากขวด (โลมาสีชมพู) และโลมาอิระวดี (โลมาหัวบาตร) ที่แสนรู้ การแสดงของโลมามีให้ชมทุกวันวันละ 5 รอบ วันธรรมดามีรอบ 09.00 น., 11.00 น., 13.00 น., 15.00 น., 17.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ เพิ่มรอบเวลา 07.00 น. และมีรอบเล่นน้ำกับโลมามีรอบ 9.45 น., 11.45 น., 13.45 น., และ 15.45 น. ดูการแสดงจบแล้วพาเด็กๆไปอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว ที่ได้ชื่อว่าตามเสด็จรัชกาลที่ 5 ครั้งเสด็จประพาสเมืองจันทบุรี และเป็นน้ำตกแห่งตำนานรักอันยิ่งใหญ่ที่เรียกกันติดปากว่า “พระนางเรือล่ม” โดยสถานที่แห่งนี้จะมีพระอังคารของ “พระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี” อีกทั้งยังอยู่ไม่ไกลจากวัดมังกรบุปผารามอีกด้วย หลังจากที่เดินชมธรรมชาติและลงเล่นน้ำตกจนตัวเปียกที่น้ำตกพลิ้วแล้ว แล้วก็ไปลงดินกันหน่อยที่ “ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” ซึ่งตั้งอยู่ที่แหลมเสด็จ ทางเข้าอยู่ตรงข้ามกับศูนย์ประมง เนื่องจากศูนย์นี้เป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อสอนเรื่องการจัดสรรพื้นที่เพื่อส่งเสริมอาชีพทำกิจกรรมทางเกษตรกรรมและการประมง รวมไปถึงใช้ในการอธิบายเรื่องระบบนิเวศในป่าชายเลนให้กับนักเรียน นักศึกษา เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ทางการเรียนรู้ ภายในศูนย์จะแบ่งฐานการเรียนรู้ออกเป็น 10 ฐาน หรือที่เรียกกันว่า 10 ศาลา โดยแต่ละจุดจะมีการอธิบายต่างกันออกไป เช่นฐานที่ 3 เป็นเรื่องของการสืบพันธุ์ระบบรากของต้นไม้ป่าชายเลนที่อยู่ด้วยน้ำขัง หรือฐานที่ 4 เป็นเรื่องของห่วงโซ่อาหารในระบบพึ่งพาธรรมชาติของป่าชายเลน ซึ่งฐานนี้จะได้ลองลงไปปลูกป่าชายเลนกันจริง ศูนย์ศึกษานี้เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 8.00 น. – 18.00 น. ปิดท้ายทริปด้วยดูพระอาทิตย์ลงทะเลยามเย็น ที่จุดชมวิวเนินนางพญา ตั้งอยู่บนเนินริมทะเลใกล้อ่าวคุ้งกระเบน เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นทะเลกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา ลมเบาๆยามเย็น พระอาทิตย์กำลงจะลับของฟ้า มีศาลาให้นักท่องเที่ยวได้นั่งพัก มีเลนจักรยานสำหรับนักปั่น ปั่นตามเส้นถนนบูรพาชลทิต ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับการท่องเที่ยวเมืองจันทบุรีนะค่ะ และที่สำคัญการ์ดอย่าตกกันนะค่ะ Bibliography Tourism Authority of Thailand. (2563, สิงหาคม 2). วัดเขาสุกิม. Retrieved from Amazing THAILAND: https://thai.tourismthailand.org/Attraction/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%A1 wikipedia. (2563, สิงหาคม 2). อาสนวิหารพระนางมารีอาปฏิสนธินิรมล. Retrieved from wikipedia: https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%AA คาราบาว (2529). เจ้าตาก [Recorded by คาราบาว]. กรุงเทพฯ, ประเทศไทย. ระบบฐานข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดจันทบุรี. (2563, สิงหาคม 1). รายละเอียดข้อมูลท้องถิ่นจังหวัดจันทบุรี "ศาลหลักเมืองจันทบุรี". Retrieved from RBRU e-Culture: http://www.eculture.rbru.ac.th/ID24-%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B5 ขอขอบคุณรูปสวยๆจาก คุณภัทรี จริยเดชกุศล , คุณอภิรดา บัวทอง และคุณภุมรา วิบูลย์รัตนศรี รูปปก : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 1 : ถ่ายโดยคุณอภิรดา บัวทอง รูป 2 : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 3 : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 4 : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 5 : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 6 : ถ่ายโดยคุณอภิรดา บัวทอง รูป 7 : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 8 : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 9 : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 10 : ถ่ายโดยคุณภัทรี จริยเดชกุศล รูป 11 : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 12 : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 13 : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 14 : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 15 : ถ่ายโดยผู้เขียน รูป 16 : ถ่ายโดยคุณภุมรา วิบูลย์รัตนศรี