เรื่องที่ทุกคนจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องที่เกือบทั้งหมด “มีเค้าโครงมาจากเรื่องจริง” ใครกันที่เป็นคน “ซ้อนจักรยาน” ... เป็นเวลานานเกือบ 20 ปีมาแล้ว กับเรื่องราวที่แม่เคยเล่าให้ฉันฟังตอนเด็ก ๆ ซึ่ง ณ ตอนนั้นฉันมีอายุเพียงไม่กี่ขวบ จึงไม่ค่อยรู้สึกรู้สาอะไรกับสิ่งที่แม่เล่าให้ฟังสักเท่าไรนัก แต่ก็พอจะจำเรื่องราวที่แม่เล่ามาได้ดี วันนั้นฉันกับแม่เพิ่งเสร็จจากการไปทำธุระที่ในตัวอำเภอเมืองจันทบุรี ระหว่างทางฉันเองก็กึ่งหลับกึ่งตื่นเนื่องจากมันก็ดึกมากแล้ว ทันทีที่กลับถึงบ้านด้วยความง่วงฉันจึงรีบไปนอน แต่แม่ก็เรียกเอาไว้ก่อน “แม่มีอะไรจะเล่าให้ฟัง..” แม่พูดด้วยน้ำเสียงเรียบราบปกติ ภาพประกอบจาก pexels.com “ลูกยังจำลุงแกะได้ไหม” แม่กำลังพูดถึงลุงของฉันที่เราแทบจะไม่เคยได้เจอกันเลย ฉันพะยักหน้าตอบแม่แทนการพูดว่าจำได้ “สมัยเมื่อหลายสิบปีก่อน ตั้งแต่หนูยังไม่เกิด ลุงแกะแกมาอยู่บ้านเดียวกับยาย แล้วแกก็ทำงานเป็นคนรับจ้างขุดพลอยที่บ่อพลอยแถวถนนเส้นนั้น” “เมื่อก่อนที่ดินแถว ๆ นี้มีพลอยเยอะมาก จังหวัดเราเป็นจังหวัดที่มีพลอยเยอะ ขุดลงไปตรงไหนก็เจอแต่พลอย ลุงแกะแกเลยไปรับจ้างเป็นคนงานขุดพลอยด้วย” แม่เล่าต่อโดยไม่เว้นวรรค “ยิ่งขุดได้เยอะก็ยิ่งได้เงินมาก” ภาพประกอบจาก pexels.com “แล้วสมัยหลายสิบปีก่อนมันยังไม่มีรถใช้ เวลาจะไปไหนมาไหนก็ต้องขี่จักรยาน แล้วลุงของลูกแกเล่าให้แม่ฟังว่า ตอนนั้นแกกลับดึกเพราะแกยังขนพลอยขึ้นมาไม่เสร็จ แล้วแกก็อยากจะได้เงินเยอะ ๆ แกก็เลยทำงานต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งกว่าจะได้เลิกงานเพื่อนคนงานคนอื่นก็พากันกลับไปหมดแล้ว และที่ทางสมัยนั้นที่มันยังไม่ดี ไม่มีไฟฟ้าใช้เหมือนทุกวันนี้ทำให้พอเสร็จแล้วแกเลยต้องขี่จักรยานคนเดียวมามืด ๆ” ภาพประกอบจาก pexels.com “แกก็ปั่นจักรยานของแกไปเรื่อย ๆ พอเลี้ยวผ่านทางโค้งที่อยู่เลยเหมืองพลอยไปได้สักพัก อยู่ดี ๆ จักรยานมันก็รู้สึกหนักขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ยิ่งออกแรงปั่นเท่าไหร่ล้อจักรยานก็ยิ่งเหมือนจะปั่นไม่ไปสักที” ทันทีที่แม่เล่ามาถึงตรงนี้ฉันก็เริ่มรู้สึกประหลาดใจ เลยหันไปถามแม่ว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ก็เล่าต่อว่า “ทีแรกลุงแกะก็คิดว่าแกเองคงจะล้าเพราะทำงานมาทั้งวัน แต่ขี่ไปขี่มาก็เริ่มได้ยินเสียงแปลก ๆ ตามมา เป็นเสียงหัวเราะเบา ๆ สลับกับเสียงร้องไห้ดังมาจากข้างหลัง ซึ่งตอนนั้นมันก็ดึกแล้วแถมยังมืดมาก และก็ไม่มีบ้านคนอยู่เลยสักหลัง เป็นไปไม่ได้ที่เสียงนี้จะมาจากคนแถวนั้น แกเลยก้มดูข้างหลังผ่านขาตัวเองเท่านั้นแหละ ลุงของลูกถึงกับต้องปั่นจักรยานอย่างไม่คิดชีวิต !” ภาพประกอบจาก pexels.com “แกเล่าว่าแกเห็นชายกระโปรงสีขาวห้อยอยู่ตรงล้อหลัง ซึ่งแกก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรยังไง แต่ที่แกเห็นนั่นไม่ใช่คนแน่นอน และจากที่รู้สึกหนัก ๆ อยู่ พอแกตกใจแกก็เลยปั่นสุดแรงจนกระทั่งถึงบ้าน แกก็รีบกระโดดลงจากจักรยานแล้ววิ่งขึ้นบ้านไปหายายทันที ตอนที่แกลงมาก็ไม่เห็นอะไรอยู่ที่ท้ายจักรยานแล้ว” “พอรุ่งเช้าแกก็รีบไปถามเพื่อนคนงานด้วยกัน แกถึงได้รู้ว่าเส้นที่แกปั่นจักรยานผ่านเมื่อคืนจริง ๆ แล้วมันเป็นหลุมฝังศพ ฝังทั้งศพชาวบ้านแถวนี้แล้วก็ศพคนงานในเหมืองพลอย ที่แกเห็นก็น่าจะเป็นศพคนงานผู้หญิงที่เพิ่งตกบ่อพลอยตายแล้วเค้าเอาไปฝังไว้ ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าคนงานคนนี้คือใครมาจากไหน เพราะญาติก็ไม่มี ติดต่อใครก็ไม่ได้ ซึ่งหลายคนก็คิดว่าน่าจะใช่ เพราะตอนก่อนที่เค้าจะขุดหลุมฝังจะมีการห่อศพด้วยผ้าขาว ที่เห็นเป็นชายกระโปรงสีขาวจริง ๆ แล้วอาจจะเป็นผ้าห่อศพก็ได้” ภาพประกอบจาก pexels.com “หลังจากวันนั้น ลุงแกะก็ไม่เคยกลับบ้านดึกอีกเลย แกจะรีบกลับเป็นคนแรกตั้งแต่เย็น ๆ แล้วแกก็ยังมาเล่าให้ฟังอีกว่ามีคนงานคนอื่นที่เพิ่งมาใหม่แล้วยังไม่รู้ก็เคยเจอเหมือนกัน บางคนก็เจอว่าจักรยานปั่นไม่ไป บางคนก็รู้สึกเหมือนจักรยานวิ่งเร็วขึ้นมาเองโดยไม่ได้ปั่นทั้ง ๆ ที่แถวนั้นเป็นทางราบ ไม่มีเนินไม่มีหลุมอะไรทั้งนั้น” แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม สุสานที่แม่พูดถึงก็ยังคงอยู่แต่อยู่ในสภาพรกร้างมีหญ้าขึ้นบัง และร่องรอยของบ่อขุดพลอยก็ยังคงมีให้เห็น และถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้ถนนตลอดทั้งสายจะมีแสงไฟสว่างพอให้เห็นทางแล้ว แต่พื้นที่ใกล้เคียงของสุสานก็ยังคงเป็นที่ร้าง ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีร้านค้าอยู่ใกล้ ๆ ทุกครั้งที่ได้ผ่านเส้นทางนี้ตอนกลางคืน เรื่องที่แม่เล่าก็จะวนกลับมาให้ฉันได้คิดถึงอยู่เสมอว่า.. “ใคร ซ้อน จักรยาน !?”