เขาคิชฌกูฏมีอะไร...ทำไมต้องไปด้วย? วันนี้เราจะขอพาทุกท่านไปแสวงบุญ ณ สถานที่ที่ได้รับความสนใจอีกแห่งหนึ่งจากนักแสวงบุญชาวไทย ที่นั่นคือ “ยอดเขาคิชฌกูฏ” จังหวัดจันทบุรี ซึ่งตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติเขาคิชฌกูฏ ตำบลพลวง อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี โดยมีตำนานเล่าขานว่า บนยอดเขาคิชฌกูฏนั้น มีรอยพระพุทธบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏอยู่บนก้อนหินบนยอดเขา หากใครได้มีโอกาสไปนมัสการรอยพระพุทธบาทดังกล่าวสักครั้งในชีวิต จะเกิดความเป็นสิริมงคลสูงสุดแก่ชีวิต ทำให้ชีวิตประสบกับความสุขความเจริญ และยังสามารถขอพรในสิ่งที่เราปรารถนาได้ 1 ข้อ ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงพากันหลั่งไหลขึ้นไปบนยอดเขาคิชฌกูฏ เพื่อนมัสการและขอพรรอยพระพุทธบาทดังกล่าว อยากไปขึ้นเขาคิชฌกูฏ ต้องไปช่วงไหน? ยอดเขาคิชฌกูฏนั้น จะเปิดให้นักแสวงบุญได้ขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแค่เพียงปีละ 1 ครั้ง ในช่วงประมาณเดือนมกราคม – เดือนมีนาคมของทุกปี สำหรับในปี 2563 นี้ มีพิธีบวงสรวงเปิดเขาตั้งแต่วันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา และจะมีพิธีปิดเขาในวันที่ 24 มีนาคม 2563 โดยในสมัยก่อนเมื่อประมาณ 70 - 80 ปีที่แล้วผู้คนต้องใช้วิธีเดินเท้าเพื่อขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทบนยอดเขา ซึ่งกว่าจะถึงยอดเขาก็ต้องใช้เวลากว่า 7 ชั่วโมง รวมระยะทางกว่า 10 กม. โดยเดินผ่านเส้นทางที่เป็นป่าทึบ มีโขดหินสลับไปมาและมีความชันเป็นบางช่วง แต่สำหรับในปัจจุบันนี้มี “รถกระบะ 4WD” คอยให้บริการรับ – ส่งบรรดานักแสวงบุญ ซึ่งรถกระบะ 4WD นั้น จะไปส่งท่านถึงบริเวณจุดแวะพักที่ 2 บนยอดเขา จากนั้นท่านจะต้องเดินเท้าขึ้นไปตามบันไดปูนเป็นระยะทางอีกกว่า 1.2 กม. แต่สำหรับท่านที่สภาพร่างกายไม่พร้อม ที่นี่เค้ามีลูกหาบคอยให้บริการในราคาเที่ยวละ 1,000 บาท ส่วนการเดินทางนั้น เมื่อออกจากตัวเมืองจันทบุรี ให้มุ่งหน้าสู่อำเภอเขาคิชฌกูฏ ท่านสามารถเลือกที่จะไปซื้อตั๋วรถขึ้นเขาได้ 2 จุด คือ 1. จุดวัดพลวง : จุดนี้จะต้องซื้อตั๋วขึ้นรถ 2 ต่อ คือจากวัดพลวงไปถึงจุดแวะพักกลางเขา และจากจุดแวะพักกลางเขาไปจนถึงจุดแวะพักยอดเขา อัตราค่าโดยสารจะอยู่ที่ต่อละ 50 บาท 2. จุดวัดกระทิง : จุดนี้เป็นจุดที่ขายตั๋วรถขึ้นเขาในราคาแบบเหมาทั้งขาไป - กลับ ในราคา 200 บาท โดยที่ท่านไม่ต้องไปซื้อตั๋วใหม่ที่จุดแวะพักกลางเขา เป็นการเดินทางไปแสวงบุญที่ทั้งสนุก ตื่นเต้น และได้บุญอีกด้วย และหลังจากที่เราได้ขึ้นมาถึงบนเขานั้น เราจะเจอกับพระสงฆ์ที่นั่งอยู่ตรงก้อนหิน คอยแนะนำวิธีการซื้อดอกดาวเรือง และธูปเทียน เพื่อนำไปสักการะบูชาองค์พระพุทธรูปที่อยู่ด้านบน ซึ่งพระพุทธรูปนั้นจะวางอยู่ตามจุดค่ะ และเมื่อเราซื้อดอกดาวเรืองเรียบร้อยแล้ว เราก็ต้องเดินเท้าขึ้นไปเรื่อย ๆ เพราะเป้าหมายของเราคือ การได้มาเห็นรอยพระพุทธบาทที่อยู่ด้านบนสุดของยอดเขาค่ะ สำหรับทางเดินขึ้นเขานั้น บางจุดจะเป็นบันได ซึ่งเดินได้ไม่ยาก และมีระฆังถูกแขวนอยู่เรียงราย ไว้ให้เราเดินเคาะไปเรื่อย ๆ (ไม่รู้เป็นกุศโลบาย เพื่อให้เรามีอะไรทำ จะได้ไม่เหนื่อยรึเปล่านะคะ ฮ่า ฮ่า) และบางจุดก็เป็นก้อนหิน ที่เราต้องใช้ความสามารถในการหาทางเดินข้ามไปให้ได้ค่ะ และในที่สุด...เราก็มาถึงยอดเขาคิชฌกูฏค่ะ ด้านบนนั้นลมค่อนข้างแรง ทำให้เรารู้สึกหนาว บวกกับเราขึ้นเขาช่วงตี 4 ค่ะ ทำให้อากาศหนาวกว่าช่วงกลางวัน เราไม่รอช้าค่ะ เดินไปกราบที่รอยพระพุทธบาท ความเหนื่อย ความง่วง ที่เรารู้สึกตอนขึ้นเขา มันหายไปหมดเลยจริง ๆ ค่ะ ความรู้สึกตอนนั้นมีเพียงความตื้นตันที่เราได้เกิดมานับถือศาสนาพุทธค่ะ (อันนี้พูดจริง ๆ นะคะ) ความรู้สึกแบบนี้ เพื่อน ๆ ต้องมาสัมผัสเองค่ะ แล้วจะรู้ว่าความรู้สึกตื้นตันที่มันเอ่อล้นขนาดนี้ มันเป็นอย่างไร อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความมหัศจรรย์ในใจเราคือ ก้อนหินก้อนใหญ่ ที่ตั้งอยู่ชะง่อนผา โดยที่ไม่ตก หรือโอนเอนแต่อย่างใด ซึ่งก้อนหินนี้ มีชื่อว่า หินลูกบาตร ค่ะ หลายคนที่ขึ้นมาสักการะรอยพระพุทธบาท ก็ไม่พลาดที่จะเอาแผ่นทองไปปิดที่หินบาตรนี้ด้วยเช่นกัน และบางคนก็มาส่องดูเลขที่ใต้หินกันด้วยนะคะ นอกจากจะได้บุญ อาจได้เลขกลับไปด้วยนะคะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เอาเป็นว่า..ใครที่สนใจจะมานมัสการรอยพระพุทธบาทที่ยอดเขาคิชฌกูฏแห่งนี้ สิ่งที่ท่านต้องทำคือ การติดตามประกาศช่วงเวลาเปิด - ปิดเขาในแต่ละปี และเตรียมร่างกายให้พร้อม ซักซ้อมเดินออกกำลังกาย เพื่อที่จะได้สามารถเดินขึ้นเขาได้อย่างสนุก ไม่เหนื่อย และเมื่อยล้าเกินไปนะคะ ภาพโดย : นักเขียน