การศึกษาประวัติศาสตร์นอกจากจะช่วยให้เราได้ทราบถึงเหตุการณ์ในอดีตที่สามารถนำมาใช้เป็นบทเรียนและประยุกต์ใช้ในการวางแผนแก้ปัญหาต่าง ๆ ในปัจจุบันแล้ว การได้ไปเยี่ยมชมพื้นที่จริงยังช่วยให้เราได้ทราบความเป็นมาของพื้นที่ และยังเป็นการเคารพในคุณค่าและความสำคัญของพื้นที่นั้น ๆ ได้อีกด้วย วันนี้เรามีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของไทยซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นโบราณสถานจากกรมศิลปากรมาตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม พ.ศ.2497 มาแนะนำให้เพื่อน ๆ รู้จักกัน นั่นก็คือ “ป้อมกำแพงเมืองฉะเชิงเทรา” ค่ะ ป้อมกำแพงเมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 เพื่อป้องกันข้าศึกศัตรูรุกรานและทานแรงจากการยิงปืนของศัตรูที่มาทางเรือ โดยป้อมแห่งนี้ถูกสร้างไว้ริมแม่น้ำบางปะกงในปี พ.ศ.2377 เป็นหนึ่งในหลายป้อมกำแพงเมืองที่สร้างขึ้นตามปากแม่น้ำสำคัญ ๆ ในสมัยนั้น นอกจากนี้ ในสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ป้อมและกำแพงเมืองแห่งนี้ยังถูกใช้เป็นที่ตั้งกองทัพในการปราบกบฏอั้งยี่ ซึ่งเป็นพ่อค้าฝิ่นเถื่อนชาวจีนที่มาสร้างความเดือดร้อนและวุ่นวายปล้นสะดมภ์ชาวบ้านเมืองแปดริ้วอีกด้วย ป้อมกำแพงเมืองนี้มีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าวางแนวขนานไปกับแม่น้ำบางปะกง ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 19 ไร่ เป็นกำแพงก่ออิฐถือปูน ตั้งเป็นแนวทิศตะวันออกไปยังทิศตะวันตก มีความยาวโดยประมาณ 525 เมตร กว้างประมาณ 290 เมตร ตัวกำแพงหนาประมาณหนึ่งเมตร แต่เดิมมีความสูงประมาณ 4.9 เมตร แต่หลังจากมีการพัฒนาพื้นที่ทำให้ความสูงของกำแพงในปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3 เมตร ด้านหลังมีคูน้ำ ด้านบนกำแพงมีปืนใหญ่ จำนวน 5 กระบอก ปัจจุบันบริเวณหน้าป้อมกำแพงเมืองฉะเชิงเทราได้ถูกจัดให้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่สวนสาธารณะชื่อ "สวนมรุพงษ์" เพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ และชมวิวทิวทัศน์บริเวณริมแม่น้ำบางปะกง โดยลานด้านหน้ากำแพงเป็นสนามหญ้าสีเขียวสบายตา มีต้นชวนชมออกดอกสีขาวเรียงเป็นแนวแบ่งกั้นระหว่างถนนกับสวน ถัดจากแนวต้นไม้ก็มีทางสำหรับให้คนมาเดิน วิ่ง โดยมีเก้าอี้ยาววางไว้สำหรับนั่งพักเป็นระยะ ๆ การเดินทางมาเยี่ยมชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งนี้นั้นง่ายมาก เริ่มจากศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา ตรงมาตามถนนยุทธดำเนินประมาณ 500 เมตร ก็จะตัดกับถนนมรุพงษ์ที่ขนานไปกับป้อมกำแพงเมืองค่ะ และที่สำคัญ สถานที่แห่งนี้เปิดให้ “เข้าชมฟรีตลอด 24 ชั่วโมง” นะคะ ภาพหน้าปก, ภาพประกอบ 1, ภาพประกอบ 2 และ ภาพประกอบ 3 โดยพลอยพรรณราย