อื่นๆ

เพื่อนรัก เพื่อนสนิท เพื่อนหลังความตาย

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
เพื่อนรัก เพื่อนสนิท เพื่อนหลังความตาย

เรื่องราวทั้งหมดที่กำลังถ่ายทอดสู่บทความนี้ เกิดขึ้นจริงเมื่อปีพ.ศ.2529  เป็นเรื่องของข้าพเจ้า ซึ่งมีชื่อเล่นว่า เล็ก  และเพื่อนสนิทคนหนึ่งเป็นเพื่อนที่ตัวข้าพเจ้าได้มารู้จักหลังจากที่ได้มีการย้ายโรงเรียนมาเรียนที่ใหม่  ก่อนหน้านั้นตัวข้าพเจ้าได้เข้าเรียนชั้นอนุบาลและชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-2 ที่โรงเรียนอนุบาลวัดปิตุลาธิราชรังสฤษฎิ์ และเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 2  ทางคุณพ่อเลยได้แจ้งย้ายออกกับทางโรงเรียน

เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่นี้ค่อนข้างแพง  และฐานะทางบ้านตอนนั้นค่อนข้างไปในทิศทางที่ไม่ดี  คุณพ่อได้พาตัวข้าพเจ้าไปเรียนต่อที่โรงเรียนวัดประตูน้ำท่าไข่  เข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษาปีที่ 3  วันแรกที่ไปโรงเรียนตัวข้าพเจ้าไม่คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมแบบนี้เลย  อาทิ เพื่อนร่วมห้อง  สิ่งแวดล้อมรอบๆตัว  มันต่างกันมากๆ

Advertisement

Advertisement

และในวันนั้นคุณครูได้พาข้าพเจ้ามาแนะนำหน้าห้องเพื่อให้เพื่อนในห้องเรียนได้รู้จัก  รู้สึกเพื่อนๆในห้องเรียนให้ความสนใจในตัวข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก  ตลอดจนคุณครูห้องอื่นๆ เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าโรงเรียนเดิมของตัวข้าพเจ้าค่อนข้างจะมีชื่อเสียงในหลายๆด้านนั้นเอง  ทางคุณครูจึงเล็งเห็นว่านักเรียนคนนี้จะต้องมีศักยภาพแน่นอน  จึงทำให้ตัวข้าพเจ้ากลายเป็นเด็กกิจกรรมตัวยงของทางโรงเรียนไปในตัว  ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักตัวข้าพเจ้าเลย  และในห้องเรียนนี้เอง

ข้าพเจ้าได้รู้จักเพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่งชื่อเล่นว่า บี   บีเป็นคนรูปร่างผอมๆผิวสองสี  ผมหยิกทั้งหัวแต่นิสัยดีแถมบ้านบีเอง ก็อยู่เส้นทางเดียวกับตัวข้าพเจ้าแต่บ้านบีจะถึงก่อน  ซึ่งระยะทางห่างกันไม่มากเดินไปหาได้สะดวก  บีมักจะมาขอหนังสือธรรมะที่บ้านข้าพเจ้าไปอ่านอยู่เสมอๆ เช่น โลกทิพย์  โลกลี้ลับ  ญาณวิเศษจากอดีตชาติ  ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วข้าพเจ้าชอบซื้อมาอ่านเองเป็นประจำ  และอีกอย่างบ้างครั้งหลังเลิกเรียนบี และเพื่อนๆที่สนิทกันจะมาขอตีแบตที่หน้าบ้านของขัาพเจ้า  จึงทำให้เราสนิทกันเร็วมากขึ้นนั้นเอง และเป็นที่ปรึกษาเรื่องส่วนตัวให้กับบีไปในตัว

Advertisement

Advertisement

เพราะโดยพื้นฐานครอบครัวของทางบ้านบีนั้น  ไม่ค่อยมีความสุขพ่อแม่มักจะทะเลาะกันบ่อย มีพูดจาด่ากัน  ส่วนแม่ของบีก็ชอบดื่มเหล้าเป็นจำทุกวัน  แต่บีเป็นคนที่จิตใจเขัมแข็งมาก  ข้าพเจ้ากับบีจึงถือได้ว่าเป็นเพื่อนสนิทกันมากๆคนหนึ่งเลย  หลังจากที่ตัวข้าพเจ้าได้เรียนที่โรงเรียนแห่งนี้จนใกล้สำเร็จการศึกษาชั้นปีที่ 6 จึงได้วางแผนไปเรียนต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 เป็นโรงเรียนของรัฐบาลแห่งหนึ่งแต่อยู่นอกตัวเมืองไกลออกไป  แต่ส่วนตัวบีนั้นได้เข้าเรียนต่อที่โรงเรียนดัดดรุณี เป็นโรงเรียนหญิงล้วนนั้นเอง

ตั้งแต่ที่ตัวข้าพเจ้าและบีได้แยกย้ายกันไปศึกษาต่อในระดับชั้นมัธยมแต่ความเป็นเพื่อนก็ยังสนิทเหมือนเดิม  บีมักจะมาระบายให้ข้าพเจ้าฟังอยู่บ่อยครั้งว่า เวลาที่อาจารย์ให้งานกลุ่มนั้น บีมักจะไม่มีกลุ่มเข้าเหมือนเพื่อนๆรังเกียจ  แต่ก็ยังโชคดีอยู่หน่อยที่มีเพื่อนเก่าที่ตามไปเรียนโรงเรียนเดียวกัน และอยู่ห้องเดียวกับบีได้ดึงบีเข้ากลุ่ม

Advertisement

Advertisement

และหลังจากนั้นที่บ้านของข้าพเจ้ามีแผนว่าจะย้ายบ้านใหม่  ไปเช่าอยู่แถวถนนศรีโสธรตัดใหม่  ข้าพเจ้าได้บอกให้บีทราบ บีก็คงรู้สึกใจหายเช่นกันเพราะคงไปมาหาสู่กันลำบากขึ้น   ซึ่งในวันย้ายของบีก็ได้มาช่วยขนของที่ต้นทางด้วย   แต่หลังจากย้ายบ้านไปแล้วบีกับตัวข้าพเจ้าก็ยังติดต่อกันประจำเหมือนเดิม  ความเป็นเพื่อนไม่เคยเปลี่ยน  และหลังจากจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตัวข้าพเจ้าไปศึกษาต่อในสายอาชีพ ระดับชั้นปวช.

แต่ตัวของบีหลังจากจบม.3 ก็ไม่ได้ศึกษาต่อ  แต่ได้ไปสมัครทำงานในห้างประจำจังหวัด  ในขณะใช้ชีวิตวัยทำงานนั้นเอง  บีได้ไปรู้จักผู้ชายคนหนึ่งเข้า  แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ได้ทำงานในห้าง แต่เป็นพ่อค้านักเล่นพระคือปล่อยให้คนเช่าพระ  มีแผงเช่าอยู่ในตลาด  ซึ่งเป็นเส้นทางที่บีต้องเดินไปทำงานทุกวัน  ถึงได้เจอกันได้คุยไปคุยมาจึงมีการจีบกัน

แต่ที่แย่ไปกว่านั้นผู้ชายคนนี้มีเมียมีลูกแล้ว  โดยผู้ชายไม่เคยบอกให้บีได้รู้มาก่อน จนบีและผู้ชายคนนั้นคบกันไปจนเกิดได้เสียกันขึ้นมานั้นแหละ  บีถึงได้มารู้ความจริงทั้งหมดเพราะฝ่ายชายได้เปิดเผยเรื่องราวส่วนตัว โดยเหตุการณ์บังคับเพราะฝ่ายชายไม่สามารถจะแต่งงานออกหน้าออกตาได้อีก  กลัวเมียที่บ้านจะรู้เรื่องจึงต้องคบกับบีแบบหลบๆซ่อนๆ โดยเป็นแค่การรับรู้ของทางญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงเพียงอย่างเดียว  แต่อาจจะแค่ผูกข้อไม้ข้อมือเท่านั้น

ช่วงเวลาที่บีได้คบหากับผู้ชายคนนี้นั้น ตัวข้าพเจ้าขณะนั้นอายุประมาณ 21-22 ปี  ซึ่งเรียนอยู่่ระดับชั้นปวส.แล้ว แต่ก็ยังติดต่อกับบีมาตลอด และมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ตัวข้าพเจ้าได้เจอกับบี  แต่บีดูเปลี่ยนไปมากคือร่างกายที่ดูผอม  และผิวพรรณที่ดูไม่ปกติ ข้าพเจ้าจึงได้ทักเขาในสิ่งที่เห็นขณะนั้น  และได้แนะนำให้บีไปตรวจเลือดดู เพราะข้าพเจ้ากำลังสงสัยว่าเพื่อนของข้าพเจ้าน่าจะติดเชื้อเอชไอวี  เพราะอาการที่แสดงออกภายนอกมันเด่นชัดมากว่าจะมีแนวโน้มเป็นโรคนี้แน่นอน

ซึ่งตัวข้าพเจ้าก็ได้พูดปลอบบีไปว่าไปตรวจดู  แต่ถ้าผลตรวจออกมาว่าติดเชื้อก็ไม่ต้องคิดมาก หาทางรักษาดูแลสุขภาพให้แข็งแรง หลังจากนั้นผ่านไป 1 วัน  บีได้มาหาข้าพเจ้าบอกว่าผลตรวจออกมาว่าติดเชื้อเอชไอวี  ข้าพเจ้าเลยบอกว่าไม่ต้องคิดมากนะ มีไรไม่สบายใจมาหามาคุยได้เสมอ  และได้ถามบีว่าติดเชื้อนี้มาได้งัย แล้วแฟนรู้ไหมว่าติดเชื้อ  บีบอกว่าผู้ชายคนนั้นชอบเที่ยวผู้หญิงและไม่เคยสวมถุงยางอนามัยเลย  และบีก็ติดเชื้อมาจากเขา

ส่วนตัวผู้ชายนั้นเขาไม่กล้าไปตรวจกลัว  และที่สำคัญเมียหลวงได้ติดเชื้อไปด้วย และเมื่อรู้ว่าตัวเองเป็นโรคนี้ก็คิดมากจนโรคต่างๆเขาแทรกภูมิต้านทานลดลงจนถึงแก่ความตายในที่สุด   ส่วนตัวบีเองช่วงนั้นต้องเริ่มใส่เสื้อแขนยาวเพื่อปกปิดเม็ดที่ขึ้นตามผิวหนัง ถ้าเม็ดนั้นหายก็จะทิ้งรอยดำๆไว้

ส่วนในช่วงนั้นข้าพเจ้ากำลังใกล้จะสอบประจำภาคเรียนที่ 2 ชั้นปวส. จึงได้แวะไปเยี่ยมบีที่บ้านและวันนั้นเป็นวันเกิดของบี ข้าพเจ้าจำได้ว่าได้หาซื้อของขวัญไปให้บีด้วย  ซึ่งมันเป็นตุ๊กตาจีนพระสังกัจจายน์องค์ไม่ใหญ่มากนัก  แต่เมื่อไปถึงบ้านบี ข้าพเจ้าเห็นสภาพของเพื่อนแล้วสงสารมาก  แม่บีต้องพยุงบีออกจากห้องน้ำเพราะเขาไม่มีแรงพอที่จะช่วยเหลือตัวเอง แล้วบีได้พูดกับข้าพเจ้าว่า " เราคงอยู่ถึงวันเกิดเล็กไม่ได้แล้ว"

เมื่อได้ยินแบบนั้นข้าพเจ้าจึงพูดออกไปว่า อย่าพูดแบบนั้นต้องอยู่ถึงซิ  และหลังจากวันนั้นตัวข้าพเจ้ายุ่งอยู่กับการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบ และกำลังสอบในบ้างวิชาอยู่ จึงไม่ได้ไปเยี่ยมเพื่อนอีกเลย  ซึ่งช่วงเวลาที่ข้าพเจ้าไม่ได้ไปหาเขานั้น  บีได้เสียชีวิตไปแล้วโดยข้าพเจ้าไม่รู้เรื่องเลย

และเย็นวันหนึ่งมีพี่ชายบีมาตามหาบ้านข้าพเจ้า  แต่หาไม่เจอ  เพราะที่บ้านบีนั้นไม่เคยรู้จะจักบ้านข้าพเจ้าไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน  ข้าพเจ้าลืมบอกไปว่าช่วงที่เรียนอยู่นั้น ตัวข้าพเจ้าได้ไปมาที่ศาลเจ้าแม่กวนอิมแห่งหนึ่งในฉะเชิงเทรา  คือไปเป็นพี่เลี้ยงช่วยงานศาลเจ้า  และพี่ชายบีเองก็เคยขับรถมาส่งแก๊สที่นี้  ทำให้พี่ชายบีนึกขึ้นมาได้ว่าเคยเจอกับข้าพเจ้าที่ศาลเจ้า   เขาจึงขับรถมาหาที่ศาลเจ้าและเจอตัวข้าพเจ้าพอดี

พี่ชายบีบอกว่า บีเสียแล้วคืนนี้สวดคืนสุดท้ายข้าพเจ้าใจหายมาก  หลังจากทราบข่าวการตาย ข้าพเจ้ารีบโทรหาเพื่อนสนิทให้ขับรถมอเตอร์ไซด์ไปเป็นเพื่อนกันคืนนี้  แต่เหตุการณ์นี้ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่าบีคงดลจิตใจให้พี่ชายตัวเองหาข้าพเจ้าให้พบ  หลังจากแต่งตัวเสร็จข้าพเจ้าได้เดินทางไปงานศพบีสงสารเขา ในงานแทบจะไม่มีใครมาเลยนอกจากสนิทกันจริงๆ เพราะสมัยนั้นใครๆก็รังเกียจคนเป็นโรคนี้จึงไม่ค่อยมีใครมาร่วมงานเลยในงานไม่ถึง 20 คนเลย

หลังจากพระสงฆ์สวดเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าจึงเข้าไปลาพ่อแม่บีเพื่อขอตัวกลับ และวันพรุ่งนี้จะมาร่วมงานเผาศพ แต่เหตุการณ์ที่ไม่ปกติก็เกิดขึ้น ระหว่างที่ขับรถมอเตอร์ไซด์ออกมาจากวัด  เพื่อนเป็นคนขับส่วนตัวข้าพเจ้าซ้อนท้าย  ระหว่างทางนั้นเองมีแต่คนข้างทางมองมาที่รถข้าพเจ้าซึ่งมันผิดปกติมาก จนอดสงสัยไม่ได้จึงได้ถามเพื่อนที่ขี่รถว่าเปิดไฟสูงรึป่าว เพื่อนมองว่าป่าว เลยคุยกับเพื่อนไปว่าทำไหมมีแต่คนหันมามองรถของเรามันแปลกอ่ะ

และเมื่อเพื่อนได้มาส่งข้าพเจ้าถึงจุดหมายคือที่ศาลเจ้าแม่กวนอิม  คนในศาลเจ้าได้ร้องบอกว่าพี่เล็กไปงานศพมาให้ขึ้นไปเอากิ่งทับทิมจุ่มน้ำมนต์หน้าโต๊ะพระพรมศรีษะด้วย คนโบราณเขาถือ  และเมื่อข้าพเจ้าจุ่มกิ่งทับทิมลงในโถน้ำมนต์ แล้วนำมาพรมที่ศีรษะก็ต้องตกตะลึงเพราะกลิ่นต่างๆนั้นลอยออกจากตัวข้าพเจ้าจนสามารถรับรู้ได้ว่ามันมีไอบางอย่างออกมาจากตัว  ขณะนั้นทุกคนที่อยูในที่นั้นรวมถึงตัวข้าพเจ้าได้กลิ่นแป้งแรงมากๆ จนทุกบอกว่าบีต้องตามพี่เล็กมาแน่ๆเลย

ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงเหตุการณ์ขณะซ้อนท้ายรถเพื่อนกลับมาจากงานศพ ข้าพเจ้ามั่นใจได้แน่นอนว่าบีคงตามมาส่งจริงๆ  และในวันรุ่งขึ้นช่วงตอนเย็นข้าพเจ้าจึงได้เดินทางไปงานเผาศพบี  แต่ก่อนที่จะออกจากศาลเจ้าไปร่างทรงในศาลได้พูดว่าวันนี้ในงานศพดวงวิญญาณบีจะเข้าสิงร่างพี่เล็กให้ผูกด้ายแดงที่ข้อมือไว้ (คนจีนเรียกว่า อั่งจังเสาะ) เพื่อกันไม่ให้ดวงวิญญาณของบีเข้ามาใช้ร่างได้

เมื่อถึงในงานใกล้เริ่มขบวนแห่ศพขึ้นไว้บนเมรุเผาศพ  ข้าพเจ้าสัมผัสถึงอาการที่เกิดขึ้นได้ว่าเหมือนดวงวิญญาณบีจะใช้ร่างข้าพเจ้าแต่ไม่สามารถเข้าได้  เพราะมีเส้นด้ายที่ผูกข้อมือมา  และระหว่างนั้นข้าพเจ้าไปคุยกับทางพี่น้องเขาว่าแล้วก่อนที่บีจะเสียเขามีอาการเป็นยังงัยบ้าง ถึงพาตัวนำส่งโรงพยาบาล ญาติๆเล่าว่าบีเริ่มไม่ไหวและตอนอุ้มขึ้นรถตัวเริ่มเกร็ง  แต่ตลอดทางที่ไปโรงพยาบาลนั้น บีพูดแต่ว่าเล็กจะพาไปอยู่กับเจ้าแม่กวน เล็กจะพาไปอยู่กับเจ้าแม่กวนอิม  ซึ่งตัวข้าพเจ้าศรัทธาและบูชาเจ้าแม่กวนอิมมาตั้งแต่เด็ก  และข้าพเจ้ายังเคยสอนให้บีสวดมนต์บูชาเจ้าแม่กวนอิมด้วยเวลาที่บีมาที่ศาลเจ้า

ซึ่งในขณะที่บีร่างกายเริ่มแย่คงจะนึกถึงข้าพเจ้าและเจ้าแม่กวนอิมเป็นที่พึ่งของเขา  และหลังจากงานศพบีไปประมาณวันที่ 3 ข้าพเจ้านอนหลับแล้วฝันไปว่าเจอบี ซึ่งตอนที่พบเจอนั้นภาพรอบๆตัวข้าพเจ้ามันเหมือนแถวบ้านบี และบีแต่งตัวในชุดสีฟ้าคล้ายๆกับเสื้อผ้าทางโรงพยาบาลที่ให้คนไข้ใส่  สีหน้าของบีดูปกติไม่สุขไม่ทุกข์  และขณะนั้นดวงจิตของข้าพเจ้าได้ถามออกไปว่า บีตอนนี้บีอยู่ที่ไหน บีตอบกลับมาว่าบีอยู่สถานกักกังวิญญาณ  แล้วข้าพเจ้ายังถามตอบอีกว่า บีเจอพ่อของเล็กไหม  บีตอบกลับมาว่าไม่เคยเจอเลย  ทำให้ข้าพเจ้าแน่ใจเลยว่าพ่อของข้าพเจ้าคงไปอยู่ที่ดีกว่านี้แน่ๆ  (พ่อของข้าพเจ้านั้นได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุหลายปีก่อนหน้าที่ปีจะเสียชีวิต ซึ่งบีเองก็ได้ไปร่วมงานศพในครั้งนั้นด้วย)  ก็โต้ตอบระหว่างดวงวิญญาณของบีกับตัวข้าพเจ้านั้น เป็นการคุยผ่านทางจิต เราคิดอะไรออกมา ฝ่ายตรงข้ามก็จะรับรู้แล้วตอบกลับ  แต่ถ้าเป็นคนเวลาพูดคุยจะต้องขยับปาก แต่ในโลกวิญญาณไม่ใช่แบบนั้น

การสนทนาเป็นไปสักครู่หนึ่ง แล้วถึงเวลาที่ดวงวิญญาณบีต้องกลับเขาก็หันหลังเดินจากไป  ถึงแม้ข้าพเจ้าร้องเรียกชื่อเขาก็ตามเขาก็ไม่หันมาหรือขานรับตอบเลย  และเหตุการณ์ต่อมานั้นดวงวิญญาณบีได้มาเข้าฝันอีกเป็นครั้งที่ 2 ในความฝันนั้นเมื่อเจอหน้ากันดวงวิญญาณของบี  ได้พูดกับข้าพเจ้าว่า "เล็กขอตังค์ 3 บาท ซึ่งในขณะข้าพเจ้าลองเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง ซึ่งมันมีอยู่ 1 เหรียญ คือเหรียญ 5 บาท  จึงได้ยื่นให้กับดวงวิญญาณบี  แล้วบอกไปว่าเอาไปเหอะไม่ต้องทอน  รับจากดวงวิญญาณบีรับเงินเสร็จก็หายไปจนข้าพเจ้ารู้สึกตัวตื่นซึ่งมันเป็นช่วงเช้ามืดประมาณตี 3-4 ทั้งสองเหตุการณ์เหมือนกันที่ดวงวิญญาณบีจะมาหาช่วงนี้

และเช้าวันนั้นเป็นวันที่ 16 ตุลาคม 2542 ข้าพเจ้าจำได้ดีและจำจำนวนเงินที่บีมาขอได้ จึงลองเสี่ยงโชคดูได้ซื้อหวยใต้ดิน 35  ผลปรากฏว่าเย็นวันนั้นข้าพเจ้าถูกหวยจึงได้ทำบุญไปให้ดวงวิญญาณบี เขาคงตั้งใจมาให้ลาภ แต่เรื่องไม่จบแค่นั้นนะซิครับ เรื่องราวต่างๆของความผูกพันธ์ระหว่างเพื่อนมันกลายเป็นว่าดวงวิญญาณบีอยากให้ตัวข้าพเจ้าไปอยู่กับเขาด้วยในโลกแห่งหลังความตาย

ซึ่งมีอยู่คืนหนึ่งข้าพเจ้าหลับและฝันไปว่าดวงวิญญาณของบีมาเข้าฝัน แล้วชวนข้าพเจ้าไปอยู่ด้วยกัน  ซึ่งในขณะดวงจิตของข้าพเจ้ากำลังจะตอบรับว่าไปอยู่ด้วย ด้วยเดชะบุญได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมาแว่วๆไกลๆว่า "เล็กตื่น  เล็กตื่น" ซึ่งเมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกตัวคือแม่นั้นเองที่มาปลุกข้าพเจ้า  ถ้าหากแม่ไม่มาปลุก แล้วข้าพเจ้าเผลอตอบไปว่าไปอยู่ด้วยกัน ข้าพเจ้าอาจจะหลับไปโดยไม่ตื่นขึ้นมาอีกก็เป็นไปได้  หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "ไหลตาย"

แต่ความพยายามของดวงวิญญาณบีเพื่อนรักยังไม่ยอมเลิกความตั้งใจที่จะมาหาข้าพเจ้า  ซึ่งคราวนี้ดวงวิญญาณบีเล่นแรงมาก เพราะดวงวิญญาณบีได้มาเรียกชื่อข้าพเจ้าจนถึงหน้าบ้าน  ซึ่งช่วงนั้นเป็นเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม  ทุกคนในบ้านได้ยินเสียงบีมาเรียกข้าพเจ้าชัดเจนมาก ทุกคนจำเสียงบีได้  ขณะที่ได้ยินเสียงนั้นทุกคนในบ้านหันมามองหน้ากันแล้วพูดว่า เสียงไอ้บี  และเมื่อได้ยินเสียงนั้นข้าพเจ้ารีบเปิดประตูไปดูแต่พบกับความว่างปล่าว  ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้นั้นเกิดขึ้นติดต่อกันทุกวัน และกินเวลาประมาณ 1 สัปดาห์และเวลาเดิมทุกครั้ง

ทุกคนในบ้านลงความเห็นว่าดวงวิญญาณบีมันผูกพันธ์กับเล็ก เขาคงจะคิดถึงแต่มันอยู่กันคนละภพแล้ว คงไม่ได้มีเจตนาอย่าให้เพื่อนตายหรอก  แต่ด้วยสายใยต่างๆที่ดวงจิตของวิญญาณยังเคยทำสมัยมีชีวิตอยู่นั้นยังตัดหรือปลงไม่ได้  แต่สุดท้ายเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับดวงวิญญาณของบีก็ค่อยๆหายไปและเงียบเป็นปกติ  ทุกวันนนี้ตัวข้าพเจ้าเวลาที่ทำบุญหรือสวดมนต์เสร็จมักจะอุทิศบุญและแผ่เมตตาให้เขาตลอด เขาเป็นเพื่อนที่ดีมากๆแต่ไม่น่าอาภัพ

เรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้านั้นมันคงไม่ได้บังเอิญน้อยคนนักที่จะสัมผัสเรื่องราวที่มองไม่เห็นได้  คงมีบ้างสิ่งบ้างอย่างต้องการบอกกับข้าพเจ้าว่า วิญญาณมีจริง  บาปบุญมีจริง  การเวียนว่ายตายเกิดนั้นมีจริง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เคยสั่งสอนไว้ ฉะนั้นชีวิตของคนเราอย่าประมาณ เพราะความตายนั้นเป็นของไม่แน่นอน  บุญกุศลที่เกิดจากการถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ ขอให้ดวงวิญญาณที่เกี่ยวข้องจนได้รับผลบุญผลกุศลด้วยเทอญ.

ขอขอบคุณเครดิตภาพจาก www.thehouse.online

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์