อื่นๆ

โค้งร้อยศพ

171
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
โค้งร้อยศพ

โค้งร้อยศพ

ผมเชื่อว่า หลายๆ คนคงเคยได้ยินเรื่องโค้งมรณะหรือโค้งร้อยศพกันมาบ้างแล้ว และที่เรียกกันอย่างนั้น ก็หมายความว่า เป็นทางโค้งอันตราย ที่มีคนมาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตบ่อยๆ

เช่นเดียวกับทางขึ้นเขาเพื่อที่จะไปอำเภอศรีสวัสดิ์ กาญจนบุรี จะมีทางโค้งจุดหนึ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นโค้งร้อยศพ เพราะมักจะมีรถแหกโค้งบริเวณนั้นแล้วตกเหวเป็นประจำ ภายหลังจึงมีการปรับปรุงถนนใหม่ ให้วิ่งสะดวกมากขึ้น และเกิดอันตรายน้อยลง แต่ก็ยังไม่วาย ที่รถมักจะไปประสบอุบัติเหตุที่โค้งนั้น

ชาวบ้านต่างเชื่อกันว่า โค้งนั้นเป็นโค้งอาถรรพ์ มีวิญญาณเรร่อนสิงสู่อยู่จำนวนมาก ใครผ่านไปผ่านมา ก็อาจจะพบเจอกับวิญญาณเหล่านั้น หรือไม่ก็ถูกนำไปเป็นตัวตายตัวแทน จึงได้มีการตั้งศาล เอาไว้ตรงบริเวณทางโค้งนั้น เพื่อให้เจ้าป่าเจ้าเขา ลงมาปกปักษ์รักษา คุ้มครองผู้ คนที่สัญจรไปมาผ่านบริเวณโค้งที่ว่า

Advertisement

Advertisement

ที่ผมรู้เรื่องราวเหล่านี้เป็นอย่างดี เพราะตอนเด็กๆ ผมเคยอาศัยอยู่กับย่าที่กาญจนบุรี ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กรุงเทพฯ อย่างถาวร นับได้เป็น 10 ปีแล้ว ตั้งแต่ย่าผมเสียไป ผมก็ไม่เคยกลับไปที่นั่นอีกเลย

จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมนึกอยากไปเที่ยวที่กาญจน์ จึงชวนเพื่อนสนิท 4-5 คน ไปเที่ยวด้วยกันที่นั่น แล้วก็กะว่าจะไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่บ้านย่าผมด้วย เรากะไปเที่ยวกันแบบลุยๆ ไปตกปลา กางเต็นท์นอนริมเขื่อน

วันที่ออกเดินทาง ผมขับรถปิ๊กอัพของผมไป พร้อมกับแฟนผม และเพื่อนอีก 3 คน นั่งอยู่ที่แคปหลัง เราออกจากบ้านกันตั้งแต่เช้ามืด ไปถึงเมืองกาญจน์ก็เช้าพอดี แวะชิมอาหาร แวะชมบรรยากาศ กันมาตลอดทาง กระทั่งมาถึงทางแยกขึ้นเขาตับเต่า ซึ่งเป็นทางขึ้นเขาเพื่อที่จะไปอำเภอศรีสวัสดิ์

จู่ๆ ผมก็นึกถึงเรื่องราวที่ผู้ใหญ่เคยเล่าให้ฟังไว้ตอนเด็กๆ ว่าทางขึ้นเขานี้น่ากลัวมาก คนไม่ชินเส้นทางมักประสบอุบัติเหตุบ่อยครั้ง โดยเฉพาะที่โค้งๆ หนึ่งที่ผมกำลังขับไปถึง

Advertisement

Advertisement

ทางโค้ง

“นี่ สังเกตโค้งข้างหน้ากันไว้ให้ดีนะ”

“มีอะไรเหรอต่อ”

“ก็เค้าเรียกว่าโค้งร้อยศพน่ะสิ”

พอถึงศาลเจ้าพ่อผมก็ชะลอรถ บีบแตรสามครั้งแล้วพูดขึ้น

“เจ้าป่าเจ้าเขา ช่วยคุ่มครองให้พวกเราเดินทางปลอดภัยด้วยเทอญ ...สาธุ”

“โค้งนี้เหรอวะ”

“เออดิ  เชื่อมั้ย เคยมีรถบัสแหกโค้งนี้ตกเหว แต่ตกไม่ถึงพื้นหรอกนะ”

“ทำไมวะ”

“ก็ไปห้อยต่องแต่งอยู่บนยอดไม้นั่นไง ไม่รู้กี่ศพต่อกี่ศพ คิดดูละกัน ว่าสยองขนาดไหน” ผมพูดพลางหันหน้าไปมองจุดที่เคยเกิดเหตุ

“แล้วต่อจะมาเล่าตอนนี้ทำไมเนี่ย” แฟนผมเริ่มกลัว

“ก็เล่าให้ฟังเฉยๆ ไม่ต้องกลัวไปหรอก ตอนกลางวันไม่น่ากลัวเท่าไหร่”

“แล้วนี่ใกล้ถึงบ้านย่ามึงยังวะต่อ” เพื่อนที่นั่งข้างหลังรีบเปลี่ยนเรื่อง

“ข้ามเขาไปอีกไม่กี่ลูกก็ถึงแล้วน่า...”

ผมชวนเพื่อนคุยอย่างสนุกสนานเฮฮา แต่ใจก็หวั่นๆ อยู่เหมือนกันกับโค้งที่ว่านี้ แต่ก็ไม่อยากให้ทุกคนรู้สึกไม่ดี แต่ทุกครั้งที่ผมผ่านมาที่โค้งร้อยศพแห่งนี้ ตั้งแต่เด็กจนโต ผมรู้สึกขนลุกซู่ ทุกครั้งไป

Advertisement

Advertisement

วันนี้ก็เช่นกัน ผมรู้สึกอึดอัดพิกลเมื่อขับผ่านโค้งนั้น อาจเป็นเพราะผมพูดมากไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ แต่ผมแค่ไม่อยากให้บรรยากาศในรถมันเงียบเกินไป

แต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผมขับรถผ่านโค้งนั้นมาด้วยดี อีกไม่นานเราก็เข้าสู่ บ้านท่ากระดาน ซึ่งเป็นบ้านของย่าผม

และเมื่อถึงบ้าน ผมก็เข้าไปเยี่ยมเยียนทักทายญาติพี่น้องจนหายคิดถึง จากนั้นก็ขอตัวพาเพื่อนๆ ไปเที่ยว ตกปลา เล่นน้ำ กางเต้นท์นอน ทริปนั้นถือว่าเป็นทริปที่สนุกสนานกันพอสมควร

พอรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง ผมก็แวะกินแวะเที่ยวกันต่อพอสมควร จากนั้นก็กลับไปหาญาติๆ ที่บ้านเพื่อร่ำรากัน แต่ว่าเผลอคุยกันนานไปหน่อย จนเวลาใกล้มืด ผมจึงขอตัวกลับ

ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่ามีรถส่วนตัว จะกลับตอนไหนก็ได้ ถึงกรุงเทพดึกหน่อยก็คงไม่เป็นไร แต่พอขับรถออกมาจากหมู่บ้านเท่านั้นแหละ ก็เพิ่งจะนึกถึงอะไรบางอย่าง

“โห ...ทำไมถนนมันเงียบเชียบอย่างนี้วะต่อ”

“ก็มันมืดแล้ว ไม่ค่อยมีใครขับรถลงเขาตอนกลางคืนหรอก”

“ทำไมล่ะต่อ”

“นี่ๆ เดี๋ยวถึงทางลงเขาข้างหน้า อย่านั่งเงียบๆ นะ คุยกันให้เสียงดังๆ เข้าไว้”

“อะไรของมึงอีกวะเนี่ย”

“เออน่า ทำตามที่กูบอก จนกว่าจะถึงศาลเจ้าพ่อ อย่าเพิ่งถามมาก”

ผมคะยั้นคะยอให้เพื่อนคุยกันเสียงดังๆ ระหว่างที่ขับรถลงเขา ทั้งที่บรรยากาศรอบกายแสนจะเงียบเชียบ ทุกคนอาจจะสงสัย แต่ก็ทำตามที่ผมบอก คือคุยเสียงดังแซดไปหมด แบบว่าเกินธรรมชาติไปเลย

ระหว่างนั้น ผมรู้สึกได้ถึงอะไรแปลกๆ คือ รถที่ผมขับมาจู่ๆ ก็หนักอึ้งเหมือนมีคนนับสิบขึ้นมาบนรถ ผมอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองกระจกมองหลัง แล้วผมก็ต้องขนลุกซู่ทั่วไปทั้งร่างกาย เมื่มองเห็นเงาคนหลายคนนั่งอยู่ที่ท้ายรถกระบะของผม

“เฮ้ย!....” ผมอุทานเสียงดังจนเพื่อนที่กำลังส่งเสียงคุยกันตกใจพากันเงียบหมด

“เป็นอะไรเหรอต่อ ร้องโวยวายทำไม”

“เปล่าๆ ไม่มีอะไร คุยกันต่อสิ คุยกันดังๆ เลย ไม่ต้องสนใจนอกรถ”

เพื่อนก็คงงงที่ผมบอก แต่ก็ทำตาม เพราะทุกคนคงรู้สึกได้ว่า มันมีอะไรไม่ชอบมาพากล จนกระทั่ง ถึงบริเวณศาลเจ้าพ่อ

ปริ๊น! ปริ๊น ปริ๊น ขอให้ลูกช้างเดินทางปลอดภัยด้วยเทอญ ....สาธุ

ผมบีบแตร 3 ครั้ง พร้อมทั้งภาวนาในใจ แต่พลันก็มีความรู้สึกหนึ่งวูบเข้ามา ขนของผมลุกซู่อีกครั้ง เมื่อจู่ๆ รถที่หนักๆ ก็รู้สึกเบาโหวง คราวนี้ผมมองกระจกอีกครั้ง ก็ไม่เห็นเงาดำๆ นั่นแล้ว

“เอาล่ะๆ เลิกคุยกันได้  ผ่านศาลเจ้าพ่อแล้ว” ผมถอนหายใจแรงๆ ก่อนบอกให้เพ่อนหยุดการสนทนาที่เกินะรรมชาตินั่น

“ไหนลองพูดมาซิต่อ ว่าเกิดอะไรขึ้น ให้พวกเราทำอย่างนี้ทำไม”

“เดี๋ยวลงเขาไปแล้ว เราจะเล่าให้ฟังนะ”

ผมขับรถลงจากเขามาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตัวเมืองกาญจน์ แล้วถึงปริปากเล่าเรื่องที่เห็นให้เพื่อนๆ ฟัง ว่าระหว่างที่เราขับรถผ่านโค้งร้อยศพที่ว่านั่น ผมรู้สึกว่ามีคนขึ้นมาเต็มรถเลย แล้วพอถึงศาลเจ้าพ่อ พวกเขาก็ลงไปหมด น่าจะเป็นเพราะเลยเขตของพวกเขาแล้ว

โค้งร้อยศพ

แล้วเรื่องที่ผมสั่งให้เพื่อนๆ คุยกัน เพราะเคยมีผู้ใหญ่เล่าว่า พวกวิญญาณเหล่านี้ จมอยู่กับความเศร้าตรม หงอยเหงา ไม่มีใครมาปลดปล่อยวิญญาณพวกเขา เขาจึงมองหาตัวตายตัวแทน ซึ่งก็คือคนที่กำลังรู้สึกเหมือนเขา หากใครนั่งรถมาถึงจุดนั้นแล้วหลับ เหม่อลอย เศร้าซึม ทะเลาะกัน  หรือเกิดความหวาดกลัว คนเหล่านั้นมักได้พบกับอุบัติเหตุ

ผู้ใหญ่จึงสั่งผมไว้ว่า ถ้าผ่านไปแถวนั้นให้ทำตัวสนุกสนานร่าเริง มีความสุขเข้าไว้ ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา เขาจะไม่มายุ่งกับเรา ซึ่งผมก็ได้แต่ฟังๆ มา เพิ่งได้เห็นกับตาคราวนี้แหละ ก็พวกที่มานั่งอยู่บนรถผมเต็มไปหมดนั่นยังไง

คิดถึงกี่ครั้งก็สยอง!

..............

รูปภาพจาก: http://picpanzee.com/media, Jan Alexander จาก Pixabay

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์