สมัยก่อนเราเคยสงสัยค่ะว่าความสำเร็จของแต่ละบุคคลใช้อะไรเป็นตัววัด ความมีชื่อเสียง,ความรวย,ความมีเกียรติในอาชีพ หรือมีปัจจัยอะไรอย่างอื่น ที่คนเราใช้วัดค่าความสำเร็จหรือเปล่า แต่สำหรับเรา เคยมีคนมาถามว่า เรารู้สึกว่าเราประสบความสำเร็จหรือยัง ก่อนหน้านี้ เราเคยรู้สึกว่าคำถามนี้เป็นคำถามที่ตอบลำบาก เราสำเร็จไปหลายอย่างแต่ไม่รู้สึกว่าตัวเองประสบความสำเร็จ ความสำเร็จมันเป็นเรื่อง subjective หรือเฉพาะบุคคลค่ะ ถ้าถามเราณ.ตอนนี้ว่าความสำเร็จวัดกันตรงไหน ก็คงต้องถามคำถามคนถามกลับ ว่าสิ่งที่คุณต้องการในชีวิตหรือสิ่งที่คุณให้คุณค่าในชีวิตคืออะไร? น้องสาวเราเคยเล่าเรื่องของโอโชให้ฟังค่ะ โอโชเป็นปราชญ์ที่ดำรงตนให้มีความสุขทางโลกในขณะเดียวกันก็เข้าถึงทางธรรม โอโชกล่าวว่าคนที่เป็นประธานาธิปดี เปรียบเสมือนการขึ้นบันไดที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จะลงก็ลงไม่ได้จะขึ้นไปต่อก็ไม่รู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน แปลว่าคนที่ประสบความสำเร็จต่างก็มีทุกข์กันทุกคน ไม่เว้นแม้แต่คนที่ดำรงตำแหน่งสูงสุดของโลกอย่างประธานาธิปดี จึงเป็นเหตุผลที่เราเชื่อว่า ความสำเร็จนั้นไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไปค่ะ และความสำเร็จเป็นสิ่งเสพย์ติดอย่างหนึ่ง เราทุกคนล้วนต้องการความสำเร็จที่มากขึ้นๆ หลายๆคนต้องการเงินเดือนที่สูงขึ้น ตำแหน่งดีๆ เครื่องแสดงสถานะทางสังคม อาชีพที่มีเกียรติ ชื่อเสียง การนับหน้าถือตา บ้านใหญ่ๆ รถหรูๆ เสื้อผ้าแพงๆ เพราะเราเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้คือ “เครื่องวัดค่าความสำเร็จของคน” ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้ ก็คือ เราเป็นผู้ประสบความสำเร็จในทางโลก เราต่างเชื่อว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จ คือผู้ที่มีความสุขเหลือล้น สมัยก่อนเราเคยเชื่อค่ะ ว่าการได้ลงสื่อต่างประเทศ,ได้ออกทีวี,ได้ทำหนังสือรวมเล่มของตัวเอง ถือเป็นความประสบความสำเร็จในแบบของเรา เราเคยอยากลงสื่อต่างประเทศให้มากขึ้นกว่านี้ ได้ออกหนังสือรวมเล่มอีกหลายๆเล่ม อยากมีบ้านของตัวเอง,มีรถ มีความอยากอื่นๆที่เต็มไปด้วยกิเลสเหมือนคนทั่วไป ความสำเร็จเหมือนการที่เราเดินขึ้นบันได ที่ไม่รู้ไปสิ้นสุดลงที่ตรงไหน เราเคยคิดว่า ถ้าเราประสบความสำเร็จมากขึ้นกว่านี้ ถ้าเรารวยกว่านี้ เราก็คงมีความสุขกว่านี้ เราเคยวัดค่าตัวเองจากเงินที่ได้รับแต่ละเดือน เราก็ยังคงกระหายในความสำเร็จ จนกระทั่งวันหนึ่งเรารู้สึกได้เลยว่า เราไม่ได้มีความสุขขึ้นเลย เราจึงกลับมาถามตัวเองว่าสิ่งที่เราคิดจริงๆมันถูกต้องหรือเปล่า ความสำเร็จที่เราไขว่คว้าสุดท้ายแล้วมันไปสิ้นสุดที่ตรงไหน เราพูดถึงเรื่องความสุข แต่ในใจเราเต็มไปด้วยความร้อนรุ่ม และความต้องการ เราไม่เคยเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความสุขอย่างแท้จริงจนกระทั่งเร็วๆนี้ เพราะว่าเรารับงานน้อยลง มีเวลาทำในสิ่งที่ชอบมากขึ้นอย่างเช่นการอ่าน การเขียน,การใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในแต่ละวัน ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าความสุขที่แท้จริง เราได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ happiness advantage เขียนโดยอาจารย์จาก harvard เขาบอกว่า คนเรามักจะเข้าใจผิดมาตลอดว่าความสำเร็จที่มากขึ้น จะนำมาที่ความสุขที่มากขึ้น แต่จริงๆแล้วสมการนี้มันผิด ความสุขมากขึ้นต่างหาก ที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จที่มากขึ้น พูดถึงเรื่องความสุข มันจะเลยมาอีกเรื่องหนึ่ง เราเคยคิดว่าจะเลิกวาดการ์ตูนเรื่องค่ะ เพราะเรารู้สึกว่าเราอยากโฟกัสไปที่การทำงานวาด illustration และงานเขียนให้ดีขึ้น เราอยากสำเร็จมากขึ้นกับงานวาด เราเคยรู้สึกว่า comic ไม่ใช่สิ่งที่เราถนัด แต่สุดท้ายพอมีเวลาว่างเราก็กลับมาวาดการ์ตูนแก็กง่อยๆ แบบทืี่เราถนัดวาดลงในบล็อคอยู่เรื่อยๆเพราะมันคือความสุขเล็กๆน้อยๆ เรารู้สึกว่า comic ไม่ใช่สิ่งที่เราทำได้ดี ถึงอยากจะเลิก แต่สุดท้ายเราได้คุยกับน้องสาวเรา น้องสาวเราบอกว่า “ทำไมคนเราต้องคิดว่าจะเลิกทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แค่ทำสิ่งที่มีความสุขก็พอไม่ใช่เหรอ” เคยมีน้องมาปรึกษาเราเรื่องทำนองนี้ค่ะ ว่าอยากจะเลิกถ่ายรูป เพื่ออยากโฟกัสที่งานวาด เราให้คำปรึกษาไปว่า อย่าเลิกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพื่อที่จะโฟกัสไปที่อีกสิ่งหนึ่ง เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันคือองค์รวมที่ทำให้เราเป็นเรา เราอาจจะเป็นช่างภาพที่วาดรูปเก่ง,หรือเป็นนักวาดที่ถ่ายภาพเก่งก็ได้ ช่วงหลังๆเราได้ทบทวนตัวเองเยอะค่ะ เราวาดภาพน้อยลงมาก เพราะความรู้สึกที่ว่าต้องแข่งขันกับตัวเอง ต้องเก่งขึ้น มันหายไป เราแค่อยากวาด อยากเขียน เพราะมันทำให้เรามีความสุข ความรู้สึกสมัยเป็นเด็กที่เคยมีความสุขกับการวาดรูป และการเขียนมันกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ถ้าถามเราณ.ตอนนี้ว่าประสบความสำเร็จของเราคืออะไร เราก็คงตอบได้ว่า ได้ทำงานที่ชอบ โดยอยู่ได้ มีอิสรภาพในทางเลือกของตัวเอง เลือกได้ว่าตอนนี้จะทำงานหรือไม่ทำ เลือกได้ว่าจะทำงานนี้หรือไม่ทำ มีเวลาอยู่กับครอบครัว มีความสุข และสนุกกับชีวิต โดยไม่ต้องคำนึงว่า เราจะมีชื่อเสียงหรือไม่ หรือเราจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า ความนิยมในตัวเราจะน้อยลงหรือไม่ สิ่งที่ใช้วัดความสำเร็จของเรา ไม่ใช่เงินเยอะๆ บ้านหลังใหญ่ๆ เสื้อผ้าหรูๆ อาชีพที่มีเกียรติ การมีชื่อเสียง มีคนนับหน้าถือตา แต่เป็นอิสรภาพ และดัชนีความสุขในแต่ละวัน และมีสุขภาพที่ดี แข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วย คนเราแต่ละคนมีมาตรวัดความสำเร็จไม่เหมือนกัน ยิ่งเรามีความต้องการมาก ยิ่งมาตรวัดเราสูง เราก็ยิ่งต้องไขว่คว้ามาก ยิ่งเหนื่อยมากขึ้น โดยที่ไม่รู้ว่า ความสุขจริงๆแล้วอยู่ตรงไหน เราต่างไขว่คว้าวัตถุภายนอกที่เป็นสิ่งแสดงความสำเร็จ เพราะเราเชื่อว่าถ้าเราสำเร็จ เราถึงจะมีความสุข ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันเป็นสมการที่ผิด เพราะยิ่งเราเอาตัวเองไปผูกกับวัตถุภายนอกมากเท่าไร หรือผูกกับมาตรวัดความสำเร็จทางสังคมมากเท่าไร เรายิ่งต้องตะเกียกตะกายมากขึ้นเท่านั้น เหมือนหนูที่วิ่งอยู่ในวงล้อ ที่ไม่รู้ว่าแค่มันหยุดวิ่ง วงล้อนั้นก็จะหยุดตาม ถ้าอยากประสบความสำเร็จ เริ่มที่ตั้งมาตรวัดใหม่ก่อนค่ะ ไม่ใช่การได้เงินเดือนสูงขึ้น ไม่ใช่การได้ตำแหน่งดีๆ ไม่ใช่บ้านหรูๆ ไม่ใช่ความร่ำรวย ตั้งไปที่การใช้ชีวิตอย่างมี “ความสุข” ในแต่ละวันๆ ถ้าคุณมีความสุขง่ายๆ กับชีวิต คุณยิ่งประสบความสำเร็จได้ง่ายขึ้น ยิ่งมาตรวัดความสำเร็จคุณต่ำเท่าไร คุณยิ่งประสบความสำเร็จได้ง่ายและเร็วขึ้นเท่านั้น เลิกคิดว่า ต้องรวยก่อน ต้องดังก่อน ต้องมีแฟนก่อน ต้องได้รับรักตอบ ต้องตำแหน่งสูงก่อน ต้องแต่งงานก่อน ต้องเรียนได้เกียรตินิยมก่อน ฉันถึงประสบความสำเร็จ แล้วชีวิตฉันถึงจะมีความสุข เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเสมอไป แต่นำความทุกข์มาให้คุณด้วย ความทุกข์ที่เกิดจากความกลัวว่าจะต้องสูญเสียมันไปในสักวัน ความทุกข์ที่ต้องรักษาสิ่งนั้นๆให้คงอยู่กับเราตลอดไป ความสำเร็จวัดกันที่”ใจ”ค่ะ ตราบที่ใจคุณเลิกไล่ตามความสำเร็จ เมื่อนั้นคุณก็เรียกได้ว่าคุณเป็นผู้ประสบความสำเร็จแล้ว วันนี้ใจคุณยังวิ่งบนกงล้อ หรือคุณหยุดวิ่งได้แล้วคะ