มนุษย์สร้างบ้านเรือนเพื่อสร้างความปลอดภัยให้ชีวิตตัวเอง มนุษย์จึงรอดพ้นจากการถูกกิน กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่สุดในห่วงโซ่อาหาร และที่สิ่งแวดล้อมแย่ลงทุกวันนี้เป็นเพราะมนุษย์กอบโกยจากธรรมชาติไม่รู้อิ่ม เราคงเป็นสายพันธุ์เดียวกระมังที่ควบคุมการเกิดและการตายได้ เพราะเราทุกคนดันลืมไปว่าเราคือธรรมชาติเช่นเดียวกับต้นไม้ใบหญ้าและสัตว์น้อยใหญ่ เมื่อมนุษย์ได้น้อมตัวออกจากป่าอิฐป่าปูนมาสู่ป่าที่เป็นธรรมชาติจริง ๆ มนุษย์ตัวน้อย ๆ เห็นป่าก็ตกตะลึงงันในความมีอยู่ของป่า ความที่คงสภาพความดึกดำบรรพ์ไว้อย่างนั้นเหมือนหยุดเวลาไว้ ป่าตาดเป็นพันธุ์ไม้ที่มีมากที่สุดในหุบแห่งนี้ สถานที่แห่งนี้จึงได้ชื่อว่าหุบป่าตาด แม้ว่าไดโนเสาร์จะตายไปแล้วหลายล้านปีเหลือเพียงซากฟอสซิล ป่าตาดนี้ยังคงดำรงชีพและหมุนเวียนเผ่าพันธุ์ต่อไปราวกับไม่ยินดียินร้ายต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก มันไม่สนว่าใครจะเป็นผู้ครอง ไดโนเสาร์หรือมนุษย์ เพราะผู้ผลิตอาหารอย่างพืชมันรู้ตัวดีว่ามันเจ๋งที่สุด ธรรมชาติยิ่งใหญ่เป็นห้องเรียนสำหรับมนุษย์ตัวใหญ่ ในวันเสาร์อาทิตย์จะมีคุณครูตัวน้อยๆ หมุนเวียนมาให้ความรู้เกี่ยวกับพืชพันธุ์ธรรมชาติ แต่ละคนก็แต่ละสไตล์การเล่าเรื่อง หุบป่าตาดเป็นของจริงที่นักเรียนของโลกอย่างพวกเราหากได้มาสัมผัสแล้วจะจดจำและเข้าใจได้ดีกว่าท่องหนังสือตำราเรียนวิทยาศาสตร์เป็นไหน ๆ ในหุบป่าตาดมีถ้ำหินงอกหินย้อยให้ดู ไม่มีครูสอนให้เราจำได้เท่าเรามาเห็นด้วยสองตาตัวเอง ไหนจะเรื่องผนังถ้ำยุบตัว ฟอสซิลหอยบนหินอีก ต้องมาดู มีไกด์บรรยายให้ความรู้ประกอบภาพด้วย เจ้าสีเขียว ๆ บนหิน ไม่ใช่ตะไคร่นะจ๊ะ ฟอสซิลหอยนะค้า แล้วก็มีอีกหนึ่งไฮไลท์ที่เราไม่ได้ลงรูปให้ดู เพราะตอนเราไปไม่เจอ นั่นก็คือ กิ้งกือมังกรสีชมพู เสียดายที่ไม่ได้เจอเพราะในเว็บบอกว่ากิ้งกือชมพูชนิดนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ว้าวอะเมซิ่งอันดับสามของโลก และพบได้ที่หุบป่าตาดที่เดียว Thailand only! หุบป่าตาดเป็นสถานที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพที่น่าศึกษาเป็นที่สุด เรามนุษย์ต้องช่วยกันอนุรักษ์ป่าแห่งนี้และป่าแห่งอื่นให้ลูกหลานของเราได้เห็นความมหัศจรรย์พันลึกนี้ด้วย หุบป่าตาดนี้เป็นที่ที่นักชีววิทยาและนักธรณีวิทยาควรมาสำรวจและสร้างองค์ความรู้ใหม่ ๆ สืบต่อไป