ถ้าไม่มาเห็นกับตาก็นึกภาพไม่ออกเลยนะครับว่า คำว่า “พบพระ” จะแผลงมาจากคำว่า “เพอะพะ” ที่เป็นภาษาพื้นถิ่นแปลว่า "เฉอะแฉะ" ได้ยังไง แต่หากเมื่อดูจากภูมิศาสตร์ที่ตั้งของตัวอำเภอแล้ว จะพบว่า แต่ก่อนนั้นพื้นที่เป็นที่ราบสูงเชิงเขา ด้านบนฝั่งทิศตะวันออกเป็นภูเขา ส่วนด้านล่างทิศตะวันตกเป็นที่ราบลุ่มต้นกำเนิดแม่น้ำเมย ทำให้บริเวณนี้ป่ารกชื้นน้ำไหลทั้งปี เพราะรับลมฝนจากกระแสลมทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลอันดามัน ที่ส่งมวลเมฆฝนข้ามเทือกเขาถนนธงชัยมาลงที่นี่เป็นจุดแรก ก่อนจะกระจายตัวจังหวัดตาก สุโขทัยและด้านตะวันออก ทุกวันนี้...ที่นี่ก็ยังยังคงงดงามตามแต่ละฤดูกาล การเดินทางจากตัวอำเภอแม่สอดมาอำเภอพบพระนี้ แต่เดิมใช้เส้นทางผ่านบ้านช่องแคบเลาะเลียบแม่น้ำเมย ก่อนตีโค้งเลาะเชิงเขาผ่านบ้านห้วยน้ำนัก แล้วขึ้นไปยังที่ตั้งของตัวเมืองพบพระในปัจจุบัน แม้จะเป็นเส้นทางที่ตรงและสั้น แต่ก็เสี่ยงกับเหตุสุดวิสัยที่จะเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะอยู่ติดแนวชายแดนเพียงลำน้ำขวางกั้นเท่านั้น จึงได้มีการถนนเส้นใหม่ ตรงจากแยกบ้านแม่โกนเกน-ซอโอ แล้วตัดลงไปที่ตัวอำเภอพบพระอีกทีหนึ่ง เส้นทางนี้จะอ้อมหน่อยแต่สะดวกกว่า และทำความเร็วได้ดีกว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะไปเส้นทางตัดใหม่นี้ จุดแรกที่เด่นมากก่อนเข้าตัวเมืองพบพระ คือ ซุ้มประตูเมืองเขียนตัวหนังสือว่า “เมืองเพอะพะ” ด้านในของซุ้มกลางด้านบนมีพระพุทธรูปสีทองประดิษฐานอยู่ เพื่อสื่อสาร เพอะพะกับพบพระ นั้นคือ สถานที่เดียวกันนั่นเอง จุดนี้เราสามารถจอดรถแล้วไปชมน้ำตกนางครวญ ซึ่งเป็นน้ำตกขนาดเล็กและสวยได้ด้วย ปกติน้ำตกทั่วไปเรามักต้องเดินจากข้างล่างขึ้นไปดูด้านบน ๆ ที่ละชั้น ๆ ใช่ไหมครับ แต่น้ำตกที่นี่แปลกกว่าที่อื่น ก็คือ เราต้องเดินลงไปข้างล่างเพื่อจะได้ชมน้ำตกครับ จากประวัติบอกว่า บริเวณโดยรอบตรงนี้แหละ แต่ก่อนนั้นเป็นดงป่าหวาย ดงเตยและดงแขม มีน้ำไหลมาจากน้ำออกรูท่วมขังบริเวณนี้เฉอะแฉะ จึงเรียกบริเวณนี้ว่า “เพอะพะ” ทำให้การสัญจรไม่สะดวก ต่อมาเมื่อได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอ ทางการเห็นว่าควรหาคำใหม่ที่สอดคล้องกับคำเดิม นอกจากไพเราะแล้วยังเป็นสิริมงคลด้วย จึงเปลี่ยนจากคำว่า “เพอะพะ” เป็น “พบพระ” นี่ก็คือที่มาของชื่อ แม้จะดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยสอดรับกันเท่าไหร่ก็ตาม ไหน ๆ ก็มา “พบพระ” แล้วก็เลยแวะไปไหว้พระที่วัดพบพระใต้เป็นสถานีต่อไป ที่วัดนี้มีซุ้มประตูสวยงามมาก ปิดด้วยกระจกสีเงินสะท้อนแสง ที่ซุ้มมีลายปูนปั้นพญานาค 3 เศียรสีแดงทอง เหนือขึ้นไปเป็นซุ้มโค้งคล้ายเจดีย์ 5 ชั้น โดยบนยอดสุดเป็นรูปเจดีย์มีฉัตรด้านบน ที่ด้านข้างวิหารแบบล้านนา มีรูปปั้นตัวพญานาค ส่วนหัวเป็นมังกรและหางเป็นปลา นับว่าเป็นศิลปะปูนปั้นที่แปลกตามาก สำหรับอุโบสถเป็นแบบไทยภาคกลาง ด้านหลังมีพระเจดีย์สีขาวขนาดเล็กไว้ให้กราบไหว้ด้วย ออกจากวัด ตั้งใจว่าจะแวะไปดื่มกาแฟเจ้าถิ่นที่ "เพอะพะกาแฟ" แต่ร้านปิด ก็เลยไปรองท้องก่อนกลับด้วยอาหารประจำถิ่นของที่นี่อีกอย่างหนึ่งคือ “ขนมจีน” คือว่า ขนมจีนของที่นี่ต่างจากที่อื่นตรงที่ในหม้อน้ำยาขนมจีนนั้น เขาใส่ “หยวกกล้วยหั่น” ต้มอยู่ในน้ำยาจนอ่อนยุ่ย เวลาเสิร์ฟก็ตักขึ้นมาด้วยพร้อมกับใส่ใบแมงลัก นอกจากจะหอมใบแมงลักแล้ว ก็มีความนุ่มนิ่มของหยวกกล้วยนี่แหละที่เข้ากันกับขนมจีนมาก สาเหตุที่ใส่หยวกกล้วย เพราะที่นี่เพอะพะเฉอะแฉะ จึงทำให้มีต้นกล้วยขึ้นมากมายเต็มไปหมด เมนูน้ำยาขนมจีนใส่หยวกกล้วยนี้ จึงนับว่าพิเศษ เรียกได้ว่าเป็นอาหารประจำเมือง ที่มีการประยุกต์เอาพืชพื้นถิ่นมาใช้เป็นอัตลักษณ์ด้านอาหารได้เลยนะนี่ เส้นทางขากลับ ผมเลือกใช้เส้นทางสายเดิม คือ ถนนเส้นที่ต้องวิ่งรถเลียบชายแดนไทย-เมียนมาร์ เผื่อว่าจะได้เห็นวิถีชีวิตและบ้านเรือนคนแถบนี้ว่าอยู่กันอย่างไร ซึ่งเป็นความชอบส่วนที่เวลาไปที่ไหนก็ชอบไปดูบ้านเรือนของชาวบ้านในที่นั้น ๆ เส้นทางลงเขาจากตัวอำเภอพบพระ ผ่านบ้านห้วยน้ำนัก วิวสวยมาก ถนนดีลาดยางตลอดสาย สองข้างทางมีจุดให้ถ่ายรูปหลายจุด เมื่อเข้าเขตบ้านช่องแคบ ก็ได้เห็นบ้านเรือนของชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวปกาเกอะญอ โดยตัวบ้านทำจากไม้ไผ่และไม้แผ่นชั้นเดียว ยกพื้นสูง ใต้ถุนไว้เก็บของและเลี้ยงสัตว์ หลังคามุงด้วยใบตองตึงง่าย ๆ เป็นบ้านที่สวยงาม และคงความเป็นเอกลักษณ์ของวิถีปกาเกอะญออย่างดี ทริปสั้น ๆ แบบวันเดียวจบนี้ ผมไม่ได้ไปสถานที่ดัง ๆ ที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไปกัน แต่อยากจะไปสถานที่ใหม่ ๆ ที่น่าจะช่วยให้นักท่องเที่ยวคนอื่น ๆ ได้เลือกเส้นทางแปลกใหม่ดูบ้าง เพราะอาจจะเจออะไรใหม่ ๆ ที่คาดไม่ถึงเช่นที่ผมเจอ “ขนมจีนน้ำยาหยวกกล้วยหั่น” นั่นแหละครับ ภาพประกอบทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน : อนุญาตให้ใช้เพื่อการศึกษาได้ฟรี