อื่นๆ

ป่าช้าในคืนสยอง

111
คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ป่าช้าในคืนสยอง

เชื่อได้เลยว่า ถ้าใครเกิดในยุค 90 ก็คงจะทันได้ดูหนังกลางแปลงกันบ้าง...

หนังกลางแปลง เป็นศัพท์เฉพาะที่รู้กันในหมู่บ้านเล็กๆ สมัยที่เรายังเป็นเด็ก หรือบางคนเรียกติดปากว่าหนังขายยา ที่มักจะมีจอหนังจอใหญ่กางไว้กลางลานวัด ในงานศพแทบทุกงาน มักจะมีหนังมาฉายให้ดูอยู่เสมอ และด้วยสมัยก่อน ไม่มีโรงภาพยนตร์ล้ำๆ เหมือนในสมัยนี้ ใครๆ ก็เลือกที่จะไปดูหนังกลางแปลงด้วยกันทั้งนั้น

เราจำได้ว่า...เราชอบแบกเสื่อตามยายไปดูหนังกลางแปลง ซึ่งแท้จริงๆ แล้ว เป็นความสนุกตามประสาเด็กที่จะได้ไปหาขนมอร่อยๆ ในงานวัดกิน มากกว่าจะดูหนังจนจบเรื่อง เสื่อจะถูกปูจับจองที่นั่ง บ้างก็นั่ง บ้างก็นอน ไอ้เรานั้นมักจะนอนดูจนหลับไปตลอด พอหนังจบ ยายก็ปลุกให้เก็บเสื่อและเดินเท้ากลับบ้านที่อยู่หลังวัดนั่น

ความสนุกจะจบลงไปด้วยก็ในเวลาต้องเดินเท้ากลับบ้านนี่ล่ะ เพราะต้องเดินผ่านป่าช้า ผ่านต้นไม้ใหญ่ ที่ยืนต้นตระหง่าน แสงจันทร์ตกกระทบ ทำให้ดูเป็นเงาทะมึนน่ากลัวยิ่งนัก ยิ่งถ้าวันไหน หนังที่ฉายให้ดูเป็นหนังผีด้วยล่ะก็ แทบไม่อยากเดินกลับบ้านกันเลยทีเดียว แต่จะว่าไป เราก็เดินผ่านเป็นกิจวัตร ผ่านเป็นประจำ จนความกลัวก็แทบจะทำอะไรเราไม่ได้ไปแล้ว ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น ในคืนวันหนึ่งที่ทำให้เราจดจำไปจนวันตายเลยทีเดียว

Advertisement

Advertisement

วันนั้นเป็นวันที่หนังกลางแปลงเป็นเจ้าภาพกระเป๋าหนัก จึงมีหนังฉายม้วนต่อม้วนถึงสามเรื่องสามรสด้วยกัน ยายเป็นคนชอบดูหนัง และไม่เบื่อที่จะนั่งดูนอนดูจนจบเรื่อง แต่เราต่างหาก ที่พอเริ่มรู้สึกว่าฟ้ามืดๆ ยิ่งดึกยิ่งหนาว ยิ่งรู้สึกวังเวงจนอยากจะกลับถึงบ้านเร็วๆ ด้วยความที่หนังเลิกดึก ผู้คนก็พากันกลับก่อนหนังเลิก เหลือเพียงไม่กี่กลุ่ม กี่คนเท่านั้น ขณะที่เราเดินเท้ากลับกับยาย แทบไม่มีใครเดินอยู่ข้างหน้า หรือว่าตามหลังมาเลย เราเอง ได้แต่แบกเสื่อ เดินตามยายไปติดๆ พอยายหยุด ก็แทบชนกับยาย จริงๆ จะเรียกว่าไม่อยากคลาดสายตากับยายก็ได้ พร้อมๆ กัน ก็ไม่อยากจะเหลียวมองข้างทางด้วย หากไม่มีเสียงอะไรบางอย่างดัง ตุ๊บ ! เหมือนเป็นเสียงอะไรสักอย่างตกลงบนพื้น แต่มันคืออะไรกัน ถึงได้ดังปานนั้น ยายยังคงเดินต่อไป เหมือนไม่ได้ยินอะไร แต่สัญชาตญาณของเราต่างหากที่ทำให้อดหันไปมองตามเสียงนั่นไม่ได้ ทันได้เห็นเงาดำตะคุ่มที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เงาดำนั่นมีดวงตาสีแดงๆ เหมือนสีเลือด เราอ้าปากค้าง รีบดึงสติกลับมา พร้อมกับพยายามก้าวเดินตามยาย แต่เมื่อหันกลับมามองไปข้างหน้า ปรากฏว่ายายหายไปแล้ว ยายจะเดินไวอะไรปานนั้น...บอกตัวเองพร้อมกับกึ่งวิ่งกึ่งเดินเร็ว พยายามเดินไปข้างหน้าเพื่อหายายให้เจอให้ได้ แต่ยิ่งวิ่งก็ยิ่งรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งลอยตามหลังมา และเราก็ไม่กล้าหันไปมอง

Advertisement

Advertisement

ตุ๊บ !

เสียงอะไรบางอย่างตกกระทบพื้นอีกแล้ว แต่คราวนี้ มันใกล้กว่าเมื่อครู่ก่อนเสียอีก  ใช่แล้ว...มันดังอยู่ตรงหน้าเรานี่เอง  เราแทบทิ้งเสื่อที่แบกมาเอาไว้ตรงนั้น เงาดำเงาเดิม กระโจนลอยตัวขึ้นเหนือพื้น พร้อมห้อยหัวลงมาจากต้นไม้ใหญ่เบื้องหน้าเรานั่น  เส้นผมยาวๆ แกว่งไปมา พร้อมกับเสียงสุนัขในวัดและรอบๆ วัดเห่าหอนรับกันเป็นทอดๆ ไม่ต้องสืบแล้วล่ะว่านั่นคืออะไร ยังไงก็ไม่ใช่คนแน่ๆ แต่จะเป็นผีป่าซาตานอะไรก็ตาม เราไม่สนใจ เรารู้แต่ว่าเราต้องวิ่งให้เร็วที่สุด วิ่งไปข้างหน้า เราเชื่อว่าเราต้องเจอยาย ยายเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของเราในเวลานั้น

เราวิ่งผ่านต้นไม้ใหญ่ วิ่งผ่านปีศาจในสุสานหลังวัดที่ห้อยหัวแกว่งตัวไปมาแบบไม่คิดชีวิต และเราก็จะไม่มีวันลืมไปจนชั่วชีวิตด้วย เราบอกตัวเองเช่นนั้น และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เราก็ไม่เคยอยากไปดูหนังกลางแปลงกับยายอีกเลย !

Advertisement

Advertisement

ขอบคุณภาพจาก : Beverly

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์