เมื่อเอ่ยถึงแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ในประเทศไทย หลายคนอาจนึกถึงอยุธยาเป็นที่แรก แต่ยังมีอีกหลายที่ในประเทศไทยที่ยังคงทิ้งร่องรอยในอดีตไว้ให้ลูกหลานได้ชมและระลึกถึง บทความนี้เราจะพาไปที่ “อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย” แหล่งมรดกโลกที่องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์ที่กำแพงเพชรและศรีสัชนาลัย ภายใต้ชื่อว่า "เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร" เป็นศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรสุโขทัยในสมัยนั้น ภายในมีโบราณสถาน วัดต่าง ๆ มากมาย ซึ่งวัดที่ใหญ่ที่สุดคือ “วัดมหาธาตุ” เป็นวัดประจำอาณาจักรสุโขทัย มีพระเจดีย์มหาธาตุทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ ที่เป็นศิลปะแบบสุโขทัยแท้ บริเวณรอบวัดมหาธาตุมีเจดีย์รายแบบต่าง ๆ ประมาณ 200 กว่าองค์ วิหารต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก่อด้วยศิลาแลง นอกจากวัดมหาธาตุแล้วยังมีวัดอื่น ๆ ที่อยู่ภายในอุทยานประวัติศาสตร์อีก นักท่องเที่ยวสามารถเดิน หรือปั่นจักรยานเที่ยวชมได้ เราเลือกเดินเนื่องจากช่วงที่ไปเป็นช่วงที่มีการจัดงานลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟพอดี จึงถือโอกาสเดินเที่ยวชมงานด้วยเลย จากวัดมหาธาตุเราไปต่อที่ “วัดตระพังเงิน” โบราณสถานสำคัญอีกแห่งที่อยู่ห่างจากวัดมหาธาตุเพียง 300 เมตร จากข้อมูล คำว่า “ตระพัง” หมายถึง สระน้ำ หนองน้ำ ซึ่งบริเวณวัดมีสระน้ำอยู่อาจเป็นที่มาของชื่อ มีเจดีย์ประธานทรงดอกบัวตูม มีโบสถ์อยู่กลางน้ำ จากวัดตระพังเงินเราเดินต่อไปที่ “วัดสระศรี” เป็นโบราณสถานสำคัญตั้งอยู่บริเวณกลางสระน้ำขนาดใหญ่ ชื่อว่า ตระพังตระกวน บริเวณนี้ในช่วงกลางคืนมีการจัดแสดงประวัติความเป็นมาของการลอยกระทง เรียกได้ว่าเป็นจุดที่มีทัศนียภาพที่สวยงามมากเลย ที่วัดนี้มีพระเจดีย์ประธานทรงลังกา ด้านหน้าวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย ซึ่งเราได้นำ “ตะคัน” เป็นภาชนะดินเผาคล้ายจานบางแบบมีเชิงใช้วางเทียน ไปวางไว้ที่ฐานหน้าพระพุทธรูปแทนการลอยกระทง เป็นการร่วมอนุรักษ์ประเพณีไทยและรักษ์สิ่งแวดล้อมไปในตัว บริเวณอื่น ๆ ภายในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยก็มีการจัดแสดงตามจุดต่าง ๆ ทั้งการละเล่นไทย การแสดงโขน และขบวนแห่นางนพมาศจากแต่ละอำเภอในจังหวัดสุโขทัย รวมถึงของกิน ของใช้พื้นเมืองมากมายและผู้คนที่ร่วมกันแต่งกายด้วยชุดไทยราวกับว่าได้ย้อนเวลากลับไปในยุคสมัยนั้นเลย อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยยังมีวัดสำคัญอีกวัดหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย นั่นคือ “วัดศรีชุม” เป็นวัดที่ประดิษฐาน “พระอจนะ” เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัยขนาดใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า “พระพูดได้” ตามประวัติศาสตร์ที่กล่าวไว้ เป็นกลอุบายของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเมื่อครั้งที่ต้องทำการรบกันเองระหว่างคนไทยกับคนไทยที่เมืองสวรรคโลก สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงวางแผนสร้างกำลังใจให้กับทหาร โดยการให้ทหารคนหนึ่งปีนบันไดขึ้นไปทางด้านหลังองค์พระ และพูดให้กำลังใจแก่เหล่าทหาร จึงเกิดเป็นตำนานพระพูดได้แห่งวัดศรีชุมขึ้นมา รวมถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้ทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาขึ้นที่นี่ด้วย ปัจจุบันวัดศรีชุมมีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากมายเพื่อชมความงดงาม ความมีเอกลักษณ์และความศักดิ์สิทธิ์ของพระอจนะ จากการที่ได้เที่ยวชมเรารู้สึกว่าโบราณสถาน พระพุทธรูปตามวัดต่าง ๆ ที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยมีความสมบูรณ์กว่าทางอยุธยามาก อาจเนื่องมาจากความรุ่งเรืองในสมัยนั้นและไม่ได้พบสงครามมากนัก ทำให้หวนคิดไม่ได้ว่า หากไม่เกิดสงคราม ไม่มีการรบราฆ่าฟัน ไม่มีการทำลายล้าง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะคงอยู่มาถึงรุ่นลูกหลาน ให้พวกเราได้ชื่นชมในความงดงามอันวิจิตรที่บรรพบุรุษได้ร่วมกันสร้างให้อาณาจักรรุ่งเรือง แต่ถึงแม้มิได้เป็นเช่นนั้นเราก็ยังคงภูมิใจที่อย่างน้อยยังได้ชมร่องรอยของความงดงามนั้นที่ส่งผ่านจากอดีตมาถึงปัจจุบัน และร่วมกันอนุรักษ์สืบต่อไป ภาพถ่ายทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน ติดตามการเดินทางได้ที่เพจ TimesTravel เธอ ฉัน เรา เที่ยว