นั่งรถไฟฟรีจากนครศรีธรรมราช-กรุงเทพฯ, กรุงเทพฯ-ลพบุรี, ลพบุรี-พิษณุโลก และรถเมล์จากพิษณุโลก-สุโขทัย รวมระยะเวลากว่า 2 วัน ก็เดินทางมาถึงเป้าหมาย จากนั้นจึงให้รุ่นน้องซึ่งกำลังศึกษาอยู่ที่วิทยาลัยนาฏศิลป์สุโขทัย (รู้จักกันโดยบังเอิญในค่ายนักกิจกรรมค่ายหนึ่ง) มารับ ณ สถานีขนส่งสุโขทัย บ้านที่จะไปพักนั้นมีลักษณะเป็นบ้านสองชั้น ครึ่งปูนครึ่งไม้ โดยมีผู้อยู่อาศัยหลัก ๆ คือ พ่อ แม่ แม่ใหญ่ (ยาย) และรุ่นน้อง ซึ่งการเดินทางมาครั้งนี้ทำให้ผมได้รู้จักกับวิถีชีวิตของคนสุโขทัยมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสำเนียงการพูดที่เป็นเอกลักษณ์ อาหารการกินสุดพิเศษ และลักษณะเด่นของพื้นที่ ตอนสาย ๆ หลังพักหายเหนื่อยจากการเดินทาง น้องชักชวนผมไปดูนาข้าวและสวนมะเขือยาว ซึ่งทางบ้านได้ปลูกไว้ในพื้นที่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร ณ ช่วงเวลานั้นชาวบ้านเพิ่งรอดพ้นจากอุทกภัย ผลผลิตทางการเกษตรบางส่วนได้รับผลกระทบบ้างเล็กน้อย เมื่อชมความสวยงามของธรรมชาติท้องไร่ท้องนาเสร็จสิ้น ก็ถึงเวลาออกเดินทางตระเวนไปยังโบราณสถานตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ตามประสาคนชอบประวัติศาสตร์และโบราณคดี โดยสถานที่ซึ่งพวกเราเดินทางไปกันก็คือ วัดมังกร วัดป่าสัก วัดป่ามะม่วง วัดหนองป่าพง วัดศรีโทน และวัดสะพานหิน ซึ่งอยู่บนเนินเขา ตามลำดับ เช้าวันต่อมาได้ออกเดินทางไกลไปยังถ้ำพระแม่ย่า ซึ่งระหว่างทางพบเจอทุ่งนาเขียวขจี บ้านหลังเก่า ๆ ท่ามกลางที่ราบ อันมีฉากหลังเป็นยอดเขาหลวง (แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เดินทางขึ้นไปเนื่องจากต้องใช้เวลานาน) เมื่อเสร็จจากถ้ำพระแม่ย่า ก็นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เดินทางต่อไปยังสรีดภงส์ เพื่อชมเทคโนโลยีกักเก็บน้ำในสมัยสุโขทัย ชมตำนานพระพูดได้ (กุศโลบายก่อนออกรบ) ณ วัดศรีชุม ชมเตาทุเรียง ซึ่งในอดีตเคยเป็นแหล่งผลิตเครื่องถ้วยสังคโลกของสุโขทัย สำรวจอิทธิพลของขอมในวัดพระพายหลวง ชมความงดงามของหอพระพุทธสิริมารวิชัย วัดแม่โจน วัดตระพังป่าน เจดีย์วัดช้างล้อม และพักผ่อนอิริยาบถกันที่วัดตระพังทอง ก่อนจะเดินเที่ยวตลาดและซื้อรากบัวเชื่อมมานั่งกินให้ฟินที่บ้านยามค่ำคืน พร้อมสนทนาตามประสาคนต่างถิ่น ความสนุกและตื่นเต้นเริ่มบังเกิด เช้าวันที่สามผมจึงรีบลุกตั้งแต่เช้ามาอาบน้ำแต่งตัวเตรียมออกเดินทาง แต่ทว่าน้องกลับบอกให้รอออกเดินทางไปตอนช่วงบ่าย เนื่องจากจะได้อยู่ยาวจนถึงตอนค่ำ เพื่อชมการแสดงของน้อง ๆ จากวิทยาลัยนาฏศิลป์ ณ อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ผมเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ จนกระทั่งถึงบ่ายโมง ก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังวัดพระเชตุพน วัดวิหารทอง วัดศรีพิจิตรกิรติกัลยาราม วัดโพรงเม่น วัดอโสการาม และวัดก้อนแลง ตามลำดับ ก่อนจะเข้าสู่เขตพื้นที่ของอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ภายในอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยกว้างขวางมาก ไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี แต่ด้วยความที่น้องเขาเป็นคนพื้นที่จึงขับรถมอเตอร์ไซค์อ้อมไปทางซ้าย มุ่งหน้าไปยังวัดศรีสวาย วัดตระพังเงิน วัดสระศรี วัดชนะสงคราม สักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ศาลหลักเมือง และชมความงดงามของเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์แห่งวัดพระมหาธาตุ ตามลำดับ ตะวันบ่ายคล้อยจวบจนตอนค่ำก็มานั่งชมการแสดงบริเวณลานใต้ดงต้นตาล ใกล้ ๆ กับพระแท่นมนังคศิลาอาสน์ ขณะที่การแสดงดำเนินไปด้วยดนตรีทำนองเพลงโบราณ ผมเฝ้านั่งคิดในใจอย่างเศร้าสร้อย ว่าคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายแล้วเหรอ ที่จะได้อยู่ในสุโขทัย รู้สึกไม่อยากเดินทางกลับ เพราะหลงรักในความเงียบสงัดของเมือง และซากโบราณสถาน อีกทั้งยังคงมีความน่าสนใจของประวัติศาสตร์มากมายที่รอให้ศึกษา แต่จำต้องจากไปด้วยภาระหน้าที่อันจำเป็น จึงพยายามนั่งซึมซับบรรยากาศให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนจะกลับมานอน และตื่นลืมตาขึ้นมาในตอนเช้าของวันที่สี่ เพื่อเตรียมตัวสะพายเป้ พร้อมกล่าวคำบอกลาและขอบคุณทุกท่านที่มีพระคุณตลอดระยะเวลากว่า 3 วัน ที่ผ่านมา ช่วงเวลานั้นมันคือช่วงเวลาแห่งความสุขครั้งหนึ่งในชีวิตที่ไม่มีวันลืมได้ และขอยืนยันว่าจะเดินทางกลับไปเยือนยังดินแดนที่ชื่อว่าสุโขทัยอีกแน่นอน ! #ขอเป้หนึ่งใบสะพายไปในดินแดนสุโขทัย