ถ้าพูดถึงการออกกำลังกายแล้วล่ะก็ การวิ่งน่าจะเป็นกีฬาที่ผู้เขียนสามารถทำได้อยู่อย่างเดียว ^^ จากคนไม่ชอบออกกำลังกายเลย ไม่เคยวิ่ง เดินออกไปซื้อกาแฟหน้าปากซอยบ้านระยะแค่ 500 เมตร ผู้เขียนก็บ่นแล้วค่ะ แต่อยู่ดีๆจับพัดจับผลู เพื่อนชะนีนางชวนไปลงงานวิ่งงานหนึ่ง โดยนางเคลมว่า “ไปเถอะผู้ชายงานดีมากแม่” ผู้เขียนด้วยความที่เห็นแก่ผู้ชาย เอ๊ยยย สุขภาพ!! จึงลงสมัครวิ่งไปในระยะสั้นที่สุดคือ 5 กิโลเมตร ปรากฎว่าพอวิ่งเข้าเส้นชัยมันเกิดความรู้สึกบ้างอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน คือ ความรู้สึกภูมิใจว่าตนเองนั้นทำได้ จากนั้นผู้เขียนก็ลงวิ่งงานต่างๆมาเรื่อยๆ ในระยะ Fun run คือ 5 กิโมเมตร ไม่เคยคิดจะขยับระยะขึ้นเลย เป็นอย่างนี้อยู่ 1 ปี จนใกล้จะวันเกิด ก็ดันเกิดความคิดว่าตนเองจะวิ่งในระยะมินิมาราธอน 10 กิโลเมตรแรกในชีวิตให้ได้ พอดีกับที่มีเพื่อนๆช่วนสมัครงานวิ่งงานหนึ่งซึ่งนำมาสู่ความประทับใจไม่มีวันลืม คืองานวิ่งที่มีชื่อว่า “CFBTLB Charity Run 2019” เป็นงานวิ่งการกุศลรายได้มอบให้มูลนิธิธรรมิกชน เพื่อคนตาบอดในประเทศไทย ซึ่งผู้เขียนบอกเพื่อนว่า งานนี้เราจะวิ่งระยะ 10 กิโมเมตรงานแรกในชีวิตเพื่อเป็นของขวัญอายุครบ 28 ปี ให้ตนเอง เช้าวันที่ 27 มกราคม 2562 ณ สนามโดดพัชรกิติยาภา โรงเรียนสงครามพิเศษ ศูนย์สงครามพิเศษ จังหวัดลพบุรี เวลาปล่อยตัวนักวิ่ง 05.30 น. ผู้เขียนและเพื่อนๆพร้อมกันที่จุดปล่อยตัว เมื่อปล่อยตัวทุกคนจะตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง มีนักวิ่งขาแรงหลายท่านวิ่งผ่านหน้าผู้เขียนไป ผู้เขียนรักษาระยะวิ่งของตนเองไปเรื่อยๆไม่เร่งรีบเพราะเป็นระยะไกลกว่าที่เราเคยวิ่ง ถ้าเร่งกำลังมากไปก็กลัวจะแย่ตั้งแต่กิโลเมตรแรก... ผ่านไป 5 กิโลเมตร เหลือระยะทางวิ่งอีกครึ่งทางกับขาที่เริ่มก้าวช้าลงๆ เดินบ้าง วิ่งบ้าง สลับๆกันไป เพื่อนที่วิ่งมาด้วยกันเริ่มวิ่งเลยไป ก่อนไปมันยังหันมาชูสองนิ้วแล้วบอกว่า “สู้ๆนะแก เจอกันที่เส้นชัย ไม่ก็ซุ้มของกิน” ... ณ กิโลเมตรที่ 7 ระยะที่ปลอบใจตัวเองว่าอีก 3 กิโลก็จะถึงเส้นชัยแล้ว ผู้เขียนยังคงเดินบ้างวิ่งบ้างสลับกันด้วยอาการหอบเหนื่อย แต่แล้วผู้เขียนก็วิ่งผ่านคุณยายท่านหนึ่ง คุณยายเป็นนักวิ่งสายแฟนซี สวมชุดไทยโจงกระเบนวิ่งอย่างน่ารัก คาดคะเนจากสายตาคิดว่าคุณยายน่าจะอายุประมาณ 70 ต้นๆ เมื่อเห็นคุณยายใช้วิธีเดินเร็วด้วยสายตาที่มุ่งมั่นกับเท้าที่ก้าวสลับกันอยู่ตลอดเวลา โดยมีนักวิ่งแวะทักทายคุณยายเป็นระยะ คุณยายก็ยิ้มตอบทุกคน ผู้เขียนจึงหันไปยิ้มให้คุณแล้วบอกว่า “สู้ๆนะคะคุณยาย” คุณยายตอบกลับมาว่า “สู้ๆเหมือนกันนะหนู เจอกันที่เส้นชัย” ไม่น่าเชื่อว่าประโยคสั้นๆเพียงเท่านี้ ทำให้ผู้เขียนฮึกเหิมขึ้น กำลังไม่รู้มาจากไหน ผู้เขียนวิ่งต่อไปถึงเส้นชัยได้อย่างภาคภูมิใจ มันทำให้รู้สึกได้เลยว่าขาเรานั้นยังไปไหว ที่ไม่ไหวคือใจของเรานั่นเอง คุณยายได้ทำลายทุกเงื่อนไขที่เราจะเอามาปลอบใจตัวเองให้หยุดวิ่ง เพราะคุณยายได้ทำให้เราเห็นเป็นตัวอย่างแล้วว่า ไม่มีอะไรจะเป็นขอจำกัดได้ไม่ว่าจะ วัย หรือสภาพร่างกาย ... ซึ่งผู้เขียนและเพื่อนๆได้รอถ่ายรูปกับคุณยายที่เส้นชัย จึงได้ทราบว่า คุณยายชื่อ คุณยายประยงค์ อายุ 81 ปีแล้ว วิ่งในระยะ 10 กิโลเมตร และคุณยายวิ่งถึงเส้นชัยอย่างงดงาม ... ใช่ค่ะทุกท่าน “ถ้าใจถึง ก็ไปถึง”