วันหยุดอยากนั่งรถไฟไปเที่ยวใกล้ๆ ไปเช้าเย็นกลับได้ เส้นทางรถไฟสายแม่กลองเป็นตัวเลือกที่ดี เราเริ่มต้นการเดินทางที่สถานีตลาดพลู เส้นทางรถไฟช่วงแรกนี้จะเริ่มต้นจากวงเวียนใหญ่ไปสิ้นสุดที่มหาชัย เที่ยวรถช่วงนี้จะถี่หน่อยเฉลี่ยชั่วโมงละคัน บรรยากาศระหว่างทางถึงแล้วสถานีมหาชัย แหล่งค้าขายอาหารทะเลหลายคนเมื่อมาถึงตรงนี้ก็จะข้ามเรือไปท่าฉลอมเพื่อต่อรถไฟเลย แต่เราเดินไปเก็บรูปใกล้ๆ สถานีก่อนที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร เจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาครเจ้าพ่อวิเชียรโชติ แกะสลักด้วยไม้โพธิ์อยู่ในท่าประทับยืนบนเกี้ยว ซึ่งแกะสลักลวดลายงดงามวิจิตร แล้วปิดทองคำเปลวบริสุทธิ์ มีความสูงประมาณ 1 ศอกเศษ ประดิษฐานอยู่ในศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสมุทรสาคร เป็นที่เคารพสักการะของคนในพื้นที่อย่างมาก โดยเฉพาะชาวประมงและคนไทยเชื้อสายจีนจะมีความเชื่อถือศรัทธามาก ก่อนออกเรือหาปลาทุกครั้งจะต้องมีการจุดประทัดเป็นการเซ่นไหว้สักการะทุกครั้ง ทุกปีวันขึ้น 11 ค่ำเดือน 5 ตามปฏิทินจีนชาวบ้านจะจัดประเพณีแห่เจ้าพ่อหลักเมือง ใกล้ๆ กับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองคือป้อมวิเชียรโชฎก สร้างขึ้นในปี 2371 ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร. 3) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (ทองจีน) เป็นแม่กองสร้างป้อมเพื่อรักษาปากน้ำท่าจีนที่เมืองสมุทรสาคร เมื่อแล้วเสร็จพระราชทานนามว่า "ป้อมวิเชียรโชฎก" เนื่องจากในสมัยร. 3 ไทยเกิดกรณีพิพาทกับญวนกรณีเจ้าอนุวงศ์เมืองเวียงจันทน์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเกรงว่าญวนจะยกกำลังทางเรือมารุกรานไทยจึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมขึ้นตามปากน้ำสำคัญ แต่น่าเสียดายที่ขณะนี้เหลือเพียงบางส่วนของป้อมเท่านั้น บรรยากาศการนั่งเรือข้ามแม่น้ำท่าจีนไปฝั่งท่าฉลอม หลังจากข้ามเรือมาแล้วก็ถึงกับต้องใส่เกียร์วิ่งกันทีเดียว เพราะรอบรถไฟจากสถานีบ้านแหลมไปสถานีแม่กลองมีรอบรถน้อยกว่าช่วงแรก ทั้งวันจะมีแค่ 4 เที่ยวเท่านั้นคือ 07:30, 10:10, 13:30 และ 16:40 สุดท้ายแล้วก็ขึ้นรถไฟทันแบบฉิวเฉียด...แฮ่กๆ เส้นทางรถไฟช่วงนี้ส่วนใหญ่จะผ่านนาเกลือ มองเห็นคนกำลังทำนาเกลือ วิวสองข้างทางสวยงามมากกว่าช่วงแรกที่เป็นบรรยากาศชุมชนเมืองมากกว่า ลมเย็นปะทะใบหน้าเพียงออกมานอกเมืองกรุงไม่ไกลก็ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ กว่าจะฉึกฉักมาถึงท้องร้องแล้ว ไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านก๋องเม้งจันก่อน บะหมี่เกี๊ยว(40 บาท) เกี๊ยวหมูอร่อยดี เครื่องเยอะพอสมควร แต่ชามเดียวไม่ถึงกับอิ่ม เดินต่อไปไหว้พระที่วัดเพชรสมุทรวรวิหารหรือที่นิยมเรียกกันว่าวัดบ้านแหลม วัดนี้เป็นวัดโบราณไม่ทราบใครเป็นผู้สร้าง เดิมชื่อ "วัดศรีจำปา" มีอายุไม่น้อยกว่า 500 ปี เหตุที่เปลี่ยนชื่อเป็น "วัดบ้านแหลม" เนื่องจากชาวบ้านแหลมหนีภัยพม่ามาจากเพชรบุรี อพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ปากคลองแม่กลองฝั่งใต้ใกล้วัดศรีจำปา เรียกหมู่บ้านนี้ว่า "พวกบ้านแหลม" หลวงพ่อบ้านแหลมเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดสมุทรสงคราม พระพุทธรูปยืนอุ้มบาตรขนาดเท่าคนจริงสูงประมาณ 167 เซนติเมตร ตามตำนานเล่าว่า ชาวประมงบ้านแหลมออกไปลากอวนในอ่าวแม่กลอง ได้พระพุทธรูปติดมา 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปนั่ง อีกองค์หนึ่งเป็นพระพุทธรูปยืน พระพุทธรูปนั่งได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ที่วัดเขาตะเครา จังหวัดเพชรบุรี ส่วนพระพุทธรูปยืนนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดบ้านแหลม เรียกกันว่า "หลวงพ่อบ้านแหลม" มีแผงขายอาหาร ขนมและสินค้าเรียงรายอยู่หน้าวัด เลยจัดขนมหม้อแกงมาอันหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดราคา 25 บาท อร่อยดีไม่หวานมาก เนื้อเนียนนุ่มมาก เดินย้อนกลับมาที่สถานีนักท่องเที่ยวทั้งจีนทั้งฝรั่งแน่นสถานีเพื่อรอถ่ายรูปตลาดร่มหุบ คนเบียดเสียดทีเดียว เราไม่ได้มุมถ่ายรูปชัดๆ เลยอัดคลิปไว้นิดหน่อย แล้วเดินไปที่ท่ารถสองแถวเพื่อขึ้นรถต่อไปอัมพวา รถสองแถววิ่งผ่านหน้าทางเข้าแต่ไม่ได้สุดสายที่นี่ ถ้าไม่ได้บอกคนขับไว้ให้จอด ก็ต้องคอยดูกูเกิ้ลแมปให้ดี อัมพวาในวันธรรมดา ร้านรวงเปิดไม่มากนัก บรรยากาศสบายๆ ถ้าอัมพวาเปิดทุกวันก็คงดี จะได้ไม่ต้องเบียดเสียดกันเฉพาะวันหยุด เดินต่อไปที่วัดอัมพวันเจติยาราม เป็นวัดของตระกูลราชินิกุลบางช้าง สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยรัชกาลที่ 1 ปัจจุบันวัดอัมพวันเจติยารามเป็นพระอารามหลวงชั้นโท พระอุโบสถตลอดจนถาวรวัตถุในวัดนี้ ส่วนใหญ่เป็นศิลปะและสถาปัตยกรรมในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งนับเป็นพระอุโบสถที่มีความงดงาม นอกจากนี้ยังมีพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยประดิษฐาน และป้ายบอกบริเวณที่พระองค์ประสูติ เดินต่อไปที่โครงการอัมพวา-ชัยพัฒนานุรักษ์ มีร้านขายน้ำและสินค้า บรรยากาศภายในร่มรื่นมาก ขากลับจริงๆ แล้วนั่งรถตู้จากอัมพวาต่อเดียวไปลงสายใต้ใหม่ได้ แต่คิดว่าไม่สะดวกต่อรถกลับเข้าเมือง เลยตัดสินใจนั่งรถสองแถวย้อนไปแม่กลอง ต่อรถตู้กลับมาลงดาวคะนอง เพื่อต่อรถกลับบ้าน ใช้เวลาไม่นานก็ถึงกรุงเทพ จบแล้วกับการท่องเที่ยวหนึ่งวันใกล้กรุง ชาร์จแบตพร้อมเริ่มการทำงานในวันต่อไป