“สุขภาพกายจะดี..เริ่มจากสุขภาพจิตที่แจ่มใส” ระบบความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายกับจิตใจนั้น ซึ่งตามธรรมชาติของมนุษย์จะมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกออกจากกันไม่ได้ ถึงแม้ว่าร่างกายของเราจะสมบูรณ์ แข็งแรงอย่างไร แต่ถ้าหากมีช่วงเวลาใด เวลาหนึ่ง ที่เรามีเรื่องกลุ้มใจ มีเรื่องทุกข์ใจ ในเวลาจิตใจของเราที่ไม่ผ่องใส มีความกังวล มีความวิตก มีความหวาดกลัว หรือมีเหตุอะไรต่างๆ ย่อมจะส่งผลกระทบไปถึงร่างกายหรือสุขภาพของเราให้ไม่ดีด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นสุขภาพจิตที่แจ่มใสสุขภาพจิตที่นิ่งสงบ ย่อมเป็นหนทางนำไปสู่สุขภาพกายที่แข็งแรง สุขภาพสมองความคิดที่แจ่มใส และโปร่งใส ที่จะคิดงานหรือคิดสิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นมงคลต่อชีวิตเราเช่นกัน วันนี้ผมจะขอมาพูดถึงหลักการบริหารจิตที่แจ่มใส เพื่อนำไปสุขภาพกายที่ดีกันนะครับ จิตผ่องใสกายย่อมแข็งแรง หลักการบริหารจิตใจให้สงบแจ่มใส มีหลักการง่ายๆ ที่ใครๆ ทุกคนก็สามารถทำเองได้ ดังนี้นะครับ 1. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น เดิน วิ่ง ว่ายน้ำ รำมวยจีน เล่นโยคะ หรือการออกกำลังกายแบบเบาๆ ซึ่งจะทำให้ร่างกายของเราได้ผ่อนคลาย จิตเราก็จะได้จดจ่อกับการออกกำลังกาย ทำให้สมองเราโปร่งใส ร่างกายแข็งแรง 2. การพักผ่อน คือการนอนหลับที่เพียงพอ ย่อมจะส่งผลดีต่อสมองและร่างกายของเราให้สดชื่น คนที่พักผ่อนไม่เพียงพอหรือนอนน้อย มีความเครียดกับงาน หรือทำงานจนลืมเวลาพักผ่อน ย่อมจะส่งผลให้สุขภาพจิตและสุขภาพกายของเรา เสื่อมโทรมและไม่มีประสิทธิภาพในการที่จะสร้างงานคิดงานที่มีคุณภาพได้ดี 3. รับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย อาหารการกินหรือสิ่งที่เราบริโภคทุกๆ วัน ก็มีผลอย่างมากกับร่างกายและจิตใจของเราเพราะฉะนั้นควรงดพวกของหวาน ของมัน ของเค็ม ของหมักดอง บุหรี่ เหล้า เบียร์ และสารเสพติดชนิดต่างๆ ควรหยุดหรือเลิกเสพ และควรจะหันมาทานผัก ปลา ผลไม้สดให้มากขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายของเรา 4. ควรจะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากผู้รู้ จากหนังสือ ตำรา หัดเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด เพราะการที่เรารับฟังอะไรมากๆ แล้วก็มาประมวลผลวิเคราะห์ไตร่ตรอง ใคร่ครวญ เมื่อไม่เข้าใจอะไรตรงไหนก็ควรถามผู้รู้ควบคู่ไป ก็จะทำให้เรารู้ในสิ่งที่เราไม่เคยรู้ และเราก็จะได้ความรู้ใหม่ๆ อย่าทำเป็นตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ควรทำตัวให้เป็นน้ำครึ่งแก้ว หรือก้นแก้ว เพื่อจะได้รับรู้สิ่งใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ จากผู้รู้ที่จะถ่ายทอดให้เราได้รับรู้ รับฟัง 5. ฝึกสมาธิ สวดมนต์ ตอนเช้า และก่อนนอน เมื่อเราตื่นเช้าหรือก่อนนอนขอให้เราหาเวลาว่างสักครึ่งชั่วโมง หรือหนึ่งชั่วโมง เพื่อฝึกทำสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระก่อนนอน ก็จะทำให้จิตเรานิ่งไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้นอนหลับสนิท จิตใจไม่วอกแวกสับสน ไม่ฟุ้งซ่าน 6. การมีสติ สัมปชัญญะ คือ สติ หมายถึง ความระลึกหรือนึกคิดในกิริยาหรือสิ่งที่ตนกระทำอยู่ สัมปชัญญะ หมายถึง ความรู้ตัวหรือรู้ในกิริยา รู้ในการกระทำของตนทั้งที่เกิดขึ้นแล้ว กำลังเกิดขึ้น และที่กำลังเกิดในอนาคต ก็จะทำให้เรารู้ตัวเราเองว่ากำลังทำอะไรอยู่ 7. การพักผ่อนสายตา พักผ่อนสมอง พักผ่อนร่างกายของเรา ซึ่งในแต่ละวัน เราก็จะทำงานหนักกัน มากกว่าวันละ 8 - 9 ชั่วโมงเลยทีเดียว เราควรจะสละเวลา วันละ 1 - 2 ชั่วโมง เพื่อไปชื่นชมกับธรรมชาติ งานศิลปะ ออกกำลังกายเบาๆ ในตอนเย็นๆ หรือนั่งสงบเงียบในที่ในพื้นที่เงียบๆ ในสวน หรือในที่ต่างๆ บ้าง 8. ฝึกเป็นคนคิดดี พูดดี ทำดี จนเป็นนิสัย เป็นผู้มีจิตอาสาช่วยเหลือผู้อื่น การคิดดี คิดในสิ่งที่เป็นกุศล สิ่งที่เป็นมงคลไม่ว่าต่อตนเองหรือต่อเพื่อนร่วมงาน หรือต่อสรรพสิ่งสรรพสัตว์ทั้งหลาย เมื่อคนอื่นทำดีเราก็ชื่นชมในความดีของเขาว่าคุณทำดีแล้ว ควรพูดในสิ่งที่สร้างสรรค์ ไม่พูดในสิ่งที่ให้ร้ายแก่ผู้อื่น การทำดีคือการทำดีกับตนเองและผู้อื่น ทำดีกับตนเองคือการตั้งจิต คิดวิเคราะห์ว่าสิ่งไหนที่เราควรทำหรือไม่ควรทำ กับตนเองหรือกับผู้อื่น ไม่ให้ร้าย ไม่เสียดสีผู้อื่น ถ้าคิดแบบนี้ได้ ทำแบบนี้ได้ ชีวิตเรานี้ก็จะมีความสุขในชีวิตทั้งทางด้านสุขภาพจิต และทางด้านสุขภาพกาย เพราะฉะนั้นจึงเห็นว่า สุขภาพกายดีอย่างเดียวยังไม่พอ สุขภาพกายดีจึงต้องมีสุขภาพจิตดีด้วย เพราะว่าสองสิ่งสองอย่างนี้ คือจิตวิญญาณและวิถีชีวิตของมนุษย์ ที่สอดคล้องและสมดุลกัน ตั้งแต่ที่เราเกิดมา จนถึงวัยเด็กวัยวัยผู้ใหญ่ วัยชรา และจนถึงวันสิ้นอายุขัยของเรานั้น กายและจิตก็ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ จึงเป็นระบบการสอดคล้องและสมดุลกันตลอดไป ดังหัวเรื่องของบทความที่ว่า “สุขภาพกายจะดี..เริ่มจากสุขภาพจิตที่แจ่มใส” ภาพประกอบบทความโดย..ครูชอวร์ กวีหลังบ้าน