สมุทรปราการ : เรื่องราวเบื้องหลังการก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณตอนหนึ่ง ที่สะท้อนให้เห็นว่า คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้สร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อให้ผลงานสมบูรณ์ที่สุด คือตอนที่เล่ากันว่า "ประโยคเดียว แก้ครึ่งปี" คราวนั้นเมื่อคนงานทำโครงสร้างตัวช้างเสร็จเกือบหมด เห็นเป็นเค้าโครงช้างสามเศียรขนาดใหญ่ยืนตระหง่านบนหลังคาอาคาร สูงจากพื้นดินร่วม 40 เมตร คุณเล็กได้มาตรวจงานชิ้นยักษ์นี้แล้วบอกกับนายช่างใหญ่ รักชาติ ศรีจันทร์เคณ ว่า "รู้หรือเปล่าขาหลังช้างสั้นไป ลื้อเป็นช่างต้องแก้ไขให้ได้" ความจริงขาหลังไม่ได้สั้นกว่าขาอื่นๆ เพียงแต่เมื่อมองขึ้นไปจากข้างล่าง มุมมองเพอร์สเปกทีฟจะลวงตาให้ดูเหมือนขาหลังสั้นไป ช้างจึงดูเตี้ยค่อมกว่าที่ควรจะเป็น คำวิจารณ์นี้ทำให้รักชาติและทีมงานต้องขยับขาช้างใหม่ทั้งตัว ซึ่งแน่นอนว่าการขยับช้างยักษ์หนักกว่า 200 ตันและสูงจากพื้นเท่าตึก 14 ชั้นนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทีมช่างต้องผ่าโครงสร้างเหล็กด้านหลัง ใช้รอกยกชิ้นส่วนขึ้นทีละส่วน และค่อยๆ เชื่อมไปทีละชิ้น เพื่อยกขาหลังให้สูงจากพื้นอีก 70 เซนติเมตร ใช้เวลาถึงครึ่งปี จึงจะยกช้างให้สูงสง่าอย่างที่คุณเล็กต้องการได้ จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมากว่า 10 ปี... คุณเล็กจากไปแล้ว โครงเหล็กที่เคยปรับแก้ บัดนี้ก็กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณที่เป็นหมุดหมายสำคัญของเมืองสมุทรปราการ และมีผู้คนมากราบไหว้สักการะ ในฐานะ ‘เจ้าพ่อช้าง’ กันเนืองแน่น แม้หลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไป แต่ดูเหมือนความใส่ใจทุกรายละเอียดเพื่อให้งานออกมาดีที่สุด ยังคงสืบทอดมาในหมู่คนทำงานโดยไม่ขาดสาย ดังเช่นในวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณได้จัดพิธีอัญเชิญช้างสำริดองค์ใหม่ขึ้นแทนช้างสำริดองค์เก่า ซึ่งจะว่าไปก็เหมือนการก้าวอีกขั้นเพื่อไปให้ถึงความสมบูรณ์ที่สุดตามที่คุณเล็กวางรากฐานไว้ ความคิดนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปีก่อน เนื่องจากมีผู้นำทองคำมาถวาย 'เจ้าพ่อช้าง' จำนวนมาก ทีมงานจึงคิดกันว่าน่าจะนำมาหล่อเป็นช้างเอราวัณสำริดองค์ใหม่ให้ประชาชนเคารพสักการะแทนองค์เดิมซึ่งเป็นเนื้อไฟเบอร์ เพราะเนื้อสำริดมีความคงทนแข็งแรงมากกว่าไฟเบอร์ อีกทั้งยังต้องการปรับรายละเอียดตัวช้างให้สวยงามและสมส่วนขึ้นมากขึ้นกว่ารูปหล่อองค์เดิม ธานี กุฎฤาษี นายช่างผู้คลุกคลีกับการสร้างพิพิธภัณฑ์ฯ ตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม ได้นำแม่พิมพ์เดิมมาตกแต่งรายละเอียดเพิ่มเติม และปรับสัดส่วนให้ลงตัวยิ่งขึ้น เช่น ส่วนเศียรก็ปรับให้สง่างามมากกว่าเดิม ขาหน้าขาหลังก็ปรับให้ดูมีกล้ามเนื้อและลงน้ำหนักเหมือนจริง เครื่องทรงช้างส่วนต่างๆ ก็ศึกษาจากตำราและเติมรายละเอียดให้ถูกต้องสวยงาม นอกจากนี้ยังปรับลวดลายฐานก้อนเมฆให้อ่อนช้อยและสมจริงมากยิ่งขึ้นด้วย กระบวนการปรับแต่งใช้เวลากว่า 1 เดือนจนได้แม่พิมพ์ใหม่ที่ทุกคนพอใจ จากนั้น ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2553 -- ซึ่งเป็นวันครบรอบ 16 ปีของพิพิธภัณฑ์ จึงทำพิธีเททองหล่อช้างเอราวัณสำริดองค์ใหม่ โดยนำทองคำหนัก 5 บาท ที่ได้รับจากผู้ศรัทธา มาผสมกับทองเหลือง และดีบุก ก่อนจะหล่อออกมาเป็นช้างสำริดองค์ใหม่ มีขนาดกว้าง 33 นิ้ว ยาว 29 นิ้ว สูง 29 นิ้ว น้ำหนักกว่า 70 กิโลกรัม นำไปรมดำเพื่อป้องกันสนิมและลดการผุกร่อน จนได้ช้างสำริดที่แข็งแรงและสง่างาม ในวันที่ 11 กรกฎาคม 2544 ที่ผ่านมา ถือเป็นฤกษ์งามยามดี ทางพิพิธภัณฑ์จึงจัดพิธีอัญเชิญรูปหล่อช้างเอราวัณองค์เก่าที่ประดิษฐานอยู่ในซุ้มด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ลง และอัญเชิญรูปหล่อช้างเอราวัณองค์ใหม่ขึ้นประดิษฐานแทน โดยทำพิธีกรรมทั้งศาสนาพุทธและศาสนาพราหมณ์ ท่ามกลางผู้มาร่วมงานกว่า 500 คน ทั้งนี้รูปหล่อองค์เดิมจะนำไปถวายวัดหินปัก อ. บ้านหมี่ จ. ลพบุรี ซึ่งเป็นวัดที่ลูกชายของคุณเล็ก -- คุณพากเพียร วิริยะพันธุ์ ไปสร้างไว้ ส่วนรูปหล่อช้างเอราวัณองค์ใหม่นี้จะประดิษฐานให้ผู้ศรัทธาได้มาสักการะต่อไป แม้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จะสร้าง ‘เสร็จ’ และเปิดให้ผู้สนใจได้เข้าชมมากว่า 10 ปีแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกอย่างได้ ‘เสร็จสมบูรณ์’ จนไม่ต้องปรับปรุงแก้ไขอะไรเลย การเปลี่ยนรูปหล่อช้างเอราวัณองค์ใหม่ที่สง่างามและคงทนกว่าแทนองค์เก่า จึงนับเป็นการก้าวเดินอีกก้าว เพื่อเข้าไปใกล้จุดหมายของผู้สร้าง นั่นคือ ‘ความสมบูรณ์’ ให้มากยิ่งขึ้น