“พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ศิลปะประติมากรรมความศรัทธา” วันนี้จะพาเพื่อน ๆ มารู้จักสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัดสมุทรปราการอีกแห่งหนึ่ง ที่มีความสวยงามและความศรัทธาควบคู่กันไป พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ หรือ ช้างสามเศียร เพื่อน ๆ ที่เคยเดินทางมาจังหวัดสมุทรปราการ ไม่ว่าจะมาทางถนนสุขุมวิทสายเก่าที่มุ่งหน้าไปทางจังหวัดชลบุรี หรือขึ้นทางด่วนวงแหวนกาญจนาภิเษกเส้นทางจังหวัดสมุทรปราการไปทางเมกะบางนาหรือว่าไปทางถนนพระราม 2 ท่านก็จะเห็นงานประติมากรรมช้างเอราวัณหรือช้างสามเศียร ขนาดสูงใหญ่เท่าตึก 15 - 17 ชั้น ที่ตั้งตระหง่านผ่านสายตาผู้สัญจรผ่านไปมาในเส้นทางนี้ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ นอกจากจะเป็นงานประติมากรรมที่สวยงามอลังการแล้ว แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความเลื่อมใสและศรัทธา ตามความเชื่อของคนไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอีกด้วย ที่มาเยี่ยมชมและสักการะขอพรกันอย่างไม่ขาดสาย สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยความคิดและแรงบันดาลใจ ของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ที่สร้างเมืองโบราณในจังหวัดสมุทรปราการ และปราสาทสัจธรรม ที่พัทยาจังหวัดชลบุรี เพื่อให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่เก็บรักษาศิลปะวัฒนธรรมและมรดกของคนไทยในด้านต่าง ๆ และเปิดให้ประชาชนได้เข้าชมและเพื่ออนุรักษ์ให้ลูกหลานได้สืบทอดกันต่อไป พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2537 แล้วเสร็จและเปิดให้เข้าชมอย่างเป็นทางการ ปี พ.ศ. 2546 ใช้เวลาสร้างเกือบ 10 ปี ตามความเชื่อเรื่องช้างเอราวัณนั้น มีมาแต่โบราณ ว่าช้างเอราวัณเป็นพาหนะนำเสด็จของพระอินทร์ ที่นำพระองค์ไปในสถานที่ต่าง ๆ ทั้งบนสวรรค์และบนโลกมนุษย์ พระอินทร์ทรงเป็นหัวหน้าของเทวดาทั้งปวง คอยควบคุมดูแลจักรวาล เป็นผู้บันดาลความสุข ความอุดมสมบูรณ์ ให้แก่โลกมนุษย์และคอยปกป้องช่วยเหลือให้โลกมนุษย์ผ่านพ้นจากความทุกข์โศกต่าง ๆ ช้างเอราวัณถือว่าเป็นเจ้าแห่งช้างทั้งปวงในจักรวาล เป็นช้างขนาดใหญ่ มีผิวกายสีขาวเผือก มีเศียร 33 เศียร แต่ด้วยการออกแบบและสถาปัตยกรรมช้างเอราวัณที่จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อให้มีความสวยงามและสมดุลกับบริบทในพื้นที่จึงสร้างช้างเอราวัน 3 เศียรขึ้นแทน อาคารที่ตั้งช้างเอราวัณ สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก มีความสูง 43.60 เมตร หรือเทียบเท่ากับความสูงของตึก 15-17 ชั้น ความกว้างตัวช้าง 12 เมตร ยาว 39 เมตร น้ำหนักตัวช้าง 150 ตัน น้ำหนักหัวช้าง 100 ตัน ช้างเอราวัณสร้างด้วยแผ่นทองแดงบุผิว โดยใช้แผ่นทองแดงหนาประมาณ 1.2 มิลลิเมตร ขนาด 4x8 ฟุต คละขนาดลดหลั่นกันไปจนถึงแผ่นเล็กสุดเท่าฝามือนับแสนกว่าชิ้น ประกอบขึ้นเป็นตัวช้าง มีการเคาะตกแต่งลวดลายเรียงต่อกัน โดยช่างที่มีฝีมือและมีความชำนาญในงานศิลปะเฉพาะทางในการสร้างช้างเอราวัณครั้งนี้ ภายในอาคารที่ตั้งของช้างเอราวัณ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน หรือไตรภูมิ ดังนี้ 1. บริเวณชั้นล่างหรือชั้นใต้ดินของตึก ภายในห้องได้จัดแสดงศิลปะวัตถุโบราณ เครื่องกระเบื้องต่าง ๆ ของคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สื่อความหมายทางวัฒนธรรมของคนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือแผ่นดินสุวรรณภูมิ โบราณวัตถุที่นำมาแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชม เช่น ภาชนะดินเผาหรือที่เรียกว่าเครื่องกระเบื้อง เป็นภาชนะดินเผาที่ผลิตเพื่อใช้สอย แลกเปลี่ยน ค้าขาย กันในยุคอดีตกาล มีหลักฐานปรากฏว่ามีการใช้กันมานับพันปี ในยุคแผ่นดินสุวรรณภูมินั่นเอง และยังมีเครื่องสังคโลกภาชนะกระเบื้องแบบลพบุรี เครื่องเบญจารงค์ต่าง ๆ ลายน้ำเต้าทอง ที่นำมาจัดแสดงในชั้นสุวรรณภูมินี้ด้วย 2. ชั้นโลกมนุษย์ คือเป็นบริเวณชั้นที่ 2 ที่เราเดินขึ้นมาจากชั้นใต้ดิน ชั้นนี้เปรียบเหมือนโลกมนุษย์ของเรา ที่มีการดำเนินวิถีชีวิตตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน จัดแสดงและเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา พระธรรมที่ค้ำจุนโลกมนุษย์ให้เกิดความผาสุข ภายในห้องได้นำแสดงภาพเรื่องราวที่แฝงด้วยคติธรรมทางพุทธศาสนา ประดับตกแต่งด้วยเครื่องถ้วยเบญจารงค์และรูปปั้นต่าง ๆ ที่งดงามตามภูมิปัญญาของช่างคนไทย ที่ได้รังสรรค์ไว้อย่างสวยงามและรวมถึงศิลปะของโลกตะวันตกที่มาจัดแสดงโชว์ในห้องนี้ ซึ่งการจัดศิลปะของไทยผสมผสานกับงานศิลปะของตะวันตกได้อย่างกลมกลืนและลงตัวสวยงามยิ่งนัก บริเวณเพดานของห้องโถงนี้เปรียบเหมือนหลังคาโลก ที่ตกแต่งเป็นรูปแผนที่โลกขนาดใหญ่บนกระจกสีที่งดงามและส่องแสงกระจายไปทั่วบริเวณห้องโถงแห่งนี้ กระจกสีนี้เป็นผลงานของศิลปินชาวเยอรมันที่ได้ฝากฝีมือไว้ในห้องนี้ 3. ชั้นจักรวาล หรือชั้นสรวงสวรรค์ เป็นส่วนของหัวช้างซึ่งเปรียบเหมือนชั้นที่อยู่เหนือโลกมนุษย์ขึ้นไปตามคติความเชื่อในไตรภูมิหรือชั้นจักรวาลนั่นเอง ซึ่งภายในชั้นจักรวาลนี้มีการจัดแสดงวัตถุโบราณ เช่น พระพุทธรูปโบราณในสมัยต่าง ๆ นำมาจัดตั้งให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้มากราบสักการะบูชา บรรยากาศในห้องนี้มีการจัดอย่างความสวยงามสร้างความน่าเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าเราได้อยู่บนชั้นแห่งสรวงสวรรค์จริง ๆ นอกจากเราจะได้ชมความงดงามภายในอาคารที่ประดับรูปช้างเอราวัณแล้ว ภายในบริเวณพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณโดยรอบก็จะมีสวนที่ร่มรื่น และประติมากรรมลอยตัวรูปสัตว์ต่าง ๆ ในยุคหินมะพาน ตั้งอยู่ตามจุดต่าง ๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมถ่ายรูป รวมทั้งถึงต้นไม้ พันธุ์ไม้ หายากที่สร้างความร่มรื่นและสวยงามให้กับบริเวณศูนย์ช้างเอราวัณแห่งนี้ และสำหรับของฝากหรือของที่ระลึก ก็จะมี รูปปั้น รูปวาด เสื้อ กระเป๋า พวงกุญแจ และอีกหลาย ๆ อย่าง ที่ผลิตขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของช้างเอราวัณ ให้กับนักท่องเที่ยวได้ซื้อและได้เช่าบูชาไว้เป็นที่ระลึก เป็นที่สักการะ หรือเป็นของฝาก ซึ่งจุดบริเวณของฝากตั้งอยู่ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ นักท่องเที่ยวที่มาชมพิพิธภัณฑ์งานประติมากรรมช้างเอราวัณแห่งนี้ นอกจากท่านจะได้ชมความสวยงามของศิลปะที่ช่างผู้มีฝีมือของไทยเราได้สร้างไว้ ท่านยังจะได้ความรู้ ความภูมิใจและความอิ่มใจในงานศิลปะวัตถุโบราณของชาวไทยประเภทอื่น ๆ ที่ได้รวบรวมมาไว้ในที่แห่งนี้ให้ท่านได้ศึกษาเรียนรู้ ได้สักการะศึกษาแก่นพระธรรมของพุทธศาสนา ที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้มาจัดแสดงให้ชม พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ตั้งอยู่ถนนสุขุมวิท จังหวัดสมุทรปราการ - เดินทางด้วยรถส่วนตัว มีสถานที่จอดรถฟรี - รถโดยสารประจำทางสาย 25,142,365 รถโดยสารปรับอากาศสาย 102, 507, 511, 536 ซึ่งป้ายรถเมล์จะอยู่ตรงหน้าช้างพิพิธภัณฑ์เอราวัณพอดี - รถไฟฟ้า ลงที่สถานีรถไฟฟ้าเอราวัณ แล้วเดินลงมาตรงหน้าสำนักงาน กศน. จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งจะมีบริการรถสามล้อ รับ-ส่ง ฟรี ให้กับนักท่องเที่ยวไปยังพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ โดยความร่วมมือจากสำนักงาน กศน. จังหวัดสมุทรปราการ ที่อำนวยความสะดวกให้จอดฟรี เพื่อบริการลูกค้า และส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดสมุทรปราการ - เปิดบริการตั้งแต่เวลา 9.00-19.00 น. - ค่าบริการ สำหรับคนไทย เด็ก 125 บาท ผู้ใหญ่ 250 บาท / ชาวต่างชาติ เด็ก 200 บาท ผู้ใหญ่ 400 บาท - ถ้าต้องสักการะภายในพิพิธภัณฑ์ ต้องเสียค่าบัตรบำรุง 50 บาท (พร้อมดอกไม้ ธูป เทียน บูชา) - นักท่องเที่ยวที่มาเป็นหมู่คณะไม่เกิน 30 คน ต่อ 1 กลุ่ม ต้องการมัคคุเทศก์นำชมสามารถติดต่อได้ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตร - อัตราเข้าชมพิเศษสำหรับ นักเรียน นักศึกษา ที่มาเป็นหมู่คณะในนามโรงเรียนหรือสถานศึกษา สามารถติดต่อได้ที่เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตร หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร 02-2371313-6 - การแต่งกายเข้าชม 1. แต่งกายสุภาพ ห้ามสวมเสื้อสายเดี่ยว แขนกุด หรือสวมชุดสั้นเหนือเข่า 2. ห้ามนำสัตว์เลี้ยงเข้าบริเวณพิพิธภัณฑ์โดยเด็ดขาด 3. เข้าชมด้วยความสุภาพ ห้ามส่งเสียงดัง 4. รักษาความสะอาด ห้ามกระทำใด ๆ ให้เกิดการชำรุดเสียหายต่อสถานที่ เช่น การสัมผัส การขีดเขียนลงบนพื้นผิวต่าง ๆ 5. ห้ามนำอาหาร เครื่องดื่ม เข้าไปรับประทานภายในพิพิธภัณฑ์ คงอีกไม่นานหลังจากสถานการณ์บ้านเราเป็นปกติแล้ว สถานที่แห่งนี้คงจะเป็นทางเลือกของเพื่อน ๆ อีกแห่งหนึ่งนะครับ สำหรับแหล่งท่องเที่ยวชานเมือง เขตปริมณฑลที่ไม่ไกลจากเมืองหลวง การเดินทางที่สดวกสบาย ซึ่งเพื่อน ๆ จะได้พักผ่อนหย่อนใจพร้อมทั้งได้ชมงานศิลปะที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรปราการ และของประเทศไทยเรา จังหวัดสมุทรปราการ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามอีกมากมายหลายแห่ง ครั้งต่อไปผมจะพาเพื่อน ๆ ไปเที่ยวชมที่ไหนนั้น คอยติดตามบทความเรื่องต่อไปนะครับ ภาพประกอบ โดย ครูชอวร์