สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพาทุกคนมาเที่ยวที่เมืองท่าชื่อดังของภูมิภาคคันไซในประเทศญี่ปุ่นอย่างเมืองโกเบกันครับ เมืองโกเบเป็นเมืองหลวง ที่อยู่ในจังหวัดเฮียวโงะ (Hyogo) มีระยะทางที่ห่างจากตัวเมืองโอซาก้า (Osaka) ไปทางตะวันตกประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งหากใครที่พักในเมืองโอซาก้าสามารถไปเช้า-เย็นกลับได้เลย และการเที่ยวในครั้งนี้ผมได้ลุยเดี่ยวและวางแผนเที่ยวเองทั้งหมด อาจจะมีขรุขระบ้าง หรือบางที่ก็อาจจะห่างกันนิดๆ ก็ลองดูนะครับว่าจะเป็นอย่างไร Akashi Kaikyo Bridge & Miko Marine Promenade เริ่มต้นที่แรก สะพาน Akashi Kaikyo เป็นสะพานที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งมีความยาวทั้งสิ้น 3,991 เมตร และอีกสถานที่ที่อยู่ติดกันเลยคือ Miko Marine Promenade เป็นหอสังเกตุการณ์บนสะพานแห่งนี้ ผมตื่นแต่เช้ามาขึ้นรถไฟที่สถานี Osaka โดยใช้บัตรแบ่ง JR Kansai Pass ขบวน JR Kobe Line Rapid For Himeji ลงที่สถานี JR Maiko ทั้งสองสถานที่นี้อยู่ติดกับสถานีเลยครับ โดยผมใช้เวลาช่วงเช้าในการเดินชมความงดงามของสะพานและบริเวณรอบๆ และดูกิจกรรมต่างๆที่คนญี่ปุ่นเขาทำกัน เช่นเดินเล่น ตกปลา ปิกนิก และอาจจะเป็นช่วงเช้าคนเลยยังไม่เยอะ ผมเลยสามารถเดินชมทิวทัศน์และถ่ายภาพได้อย่างสบายๆ สังเกตคนที่มาที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุที่ออกมาเดินเล่นสูดอากาศ ซึ่งบอกเลยว่าที่นี้อากาศดีจริงๆ บวกกับความเย็นจากลมทะเลทำให้เรารู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า พร้อมที่จะลุยเที่ยวทั้งวันเลยครับ เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ : สะพานถูกก่อสร้างเนื่องจากเรือข้ามฝากสองลำอับปางลงในทะเลในปี 1955 โดยสะพานถูกสร้างอย่างเป็นทางการในปี 1986 และเปิดใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 5 เมษายน ปี 1998 Gigantor ผมเดินทางย้อนกลับมาที่สถานนี Shin-Nagata โดยใช้ Subway เพื่อจะลงมาดูความเท่ของหุ่นยักษ์ Tetsujin 28 ที่สร้างขึ้นจากต้นแบบในตัวละครมังงะเรื่อง Tetsujin 28 go ในชื่อไทยคือ เทตสึจิน หุ่นเหล็กหมายเลข 28 ส่วนในชื่อภาษาอังกฤษ Gigantor ได้มาจากการนำไปฉายในอเมริกา ข้อมูลการท่องเที่ยวบอกว่าเจ้าอนุสาวรีย์หุ่นยักษ์นี้สูงเท่ากับสเกลของจริง ซึ่งก็คือ 18 เมตร โดยหลายๆคนที่มาเยือนโกเบก็มักจะมาถ่ายภาพคู่กับเจ้าหุ่นยักษ์นี้ ผมเองก็คาดหวังว่าจะมาถ่ายภาพพร้อมกับโพสท่าเท่ๆแบบเจ้าหุ่นยักษ์ แต่ในวันนั้นกลับมีงานแสดงเชียร์ลีดเดอร์และวงโยธวาทิต เลยมีการจัดวางเก้าอี้ให้นั่งในลาน ทำให้ผมไปยืนโพสท่าเท่ๆไม่ได้ (แบกขาตั้งกล้องไปเกอร์เลยครับ) อันที่จริงผมก็อยากจะดูการแสดงแต่ด้วยแดดที่เริ่มร้อนบวกกับความหิว ทำให้ผมต้องยอมแพ้ออกมาก่อนครับ เกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ : หุ่นยักษ์ Tetsujin 28 ถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงออกถึงสปิริตในการเอาชนะภัยพิบัติในเหตุกาณ์ครบรอบ 15 ปีการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในโกเบ Mt.Rokko จากหุ่นยักษ์สุดเท่ สถานที่ต่อไปที่เป็นจุดหมายของผมคือเขา Rokko ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางพอสมควร (เป็นหนึ่งเหตุผลที่ไม่ได้ดูการแสดงที่ Gigantor) การเดินทางต้องขึ้นรถหลายต่อคือ ผมขึ้นรถไฟจากสถานี JR Shin-Nagata มาลงที่สถานี JR Rokkomichi (เป็นสถานีที่ใหญ่และครึกครื้นมาก นึกว่าเป็นสถานที่เงียบๆสำหรับคนที่จะขึ้นเขาซะอีก) แล้วนั่งรถบัสหมายเลข 16 ไปลงสถานี Rokko Cable Shita เพื่อขึ้นรถรางขึ้นเขาอีกครับ (เป็นไง หลายต่อไหมครับ) ในระหว่างที่นั่งรถบัสมาก็สังเกตได้ว่าภูมิประเทศของเมือง Kobe นั้นจะเป็นทะเลอยู่ด้านหน้าและมีภูเขาอยู่ด้านหลัง รถบัสก็ขับขึ้นเนินอย่างเดียวเลยครับ และสังเกตได้ว่าคนที่จะขึ้นไปเที่ยวบน Mt.Rokko ส่วนใหญ่จะเป็นหนุ่มสาวที่มาเดทเป็นคู่ๆ ไอ้เราคนโสดมาเที่ยวคนเดียวก็ตาร้อนไปซิครับ ฮ่าฮ่า ส่วนการท่องเที่ยวบนเขา Rokko นั้นจะมีรถบัสวิ่งไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆไม่ว่าจะเป็น Rokko International Music Box Museum (พิพิธภัณฑ์กล่องดนตรี) Rokko Alpine Botanical Garden (สวนพฤษศาสตร์) จุดชมวิว Rokko Garden Terrace ซึ่งเราจะไม่ขึ้นรถก็ได้นะ แต่ก็จะเดินไกลอยู่พอสมควร Arima Onsen สถานที่ต่อไปที่เป็นจุดหมายของผมก็คือ เมืองออนเซ็น Arima Onsen เราสามารถนั่งรถกระเช้าบนเขา Rokko ลงมาที่สถานีกระเช้า Arima Onsen Station ได้เลยครับ แล้วก็เดินลงเขามาอีกนิดๆ ก็จะพบเจอเมืองออนเซ็นเล็กๆน่ารักๆอย่าง Arima Onsen ที่มีบรรยากาศที่ดีสุดๆไปเลยครับ เมืองที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา มีแม่น้ำเล็กๆไหลผ่านกลางเมือง พร้อมกับร้านขายของต่างๆมากมาย ทำให้รู้สึกหายเหนื่อยจากการเดินเที่ยวบนเขา Rokko เลยครับ แม้จะเป็นเมืองออนเซ็น แต่ผมก็ไม่ได้เข้าไปแช่ออนเซ็นตามโรงอาบน้ำต่างๆของเมืองนะครับ เนื่องจากต้องทำเวลา (และผมได้มีแพลนไปพักเมืองออนเซ็นที่ Kinosaki Onsen แล้วด้วย) แต่มาเมืองออนเซ็นทั้งทีจะไม่โดนน้ำแร่เลยก็ยังไงๆอยู่ ก็เลยเดินไปที่จุดสปาเท้าด้วยน้ำแร่แบบฟรีๆ (สุโค่ยเลยนะครับที่จะได้แช่น้ำแร่แบบฟรีๆในญี่ปุ่น บอกเลยหายากมาก) เมื่อแช่เท้าลงไป ก็สัมผัสได้ถึงความสบายเลยครับ และเมื่อได้เวลาที่จะกลับผมก็ใช้บริการรถบัสที่เมือง Arima Onsen เพื่อกลับมาที่สถานีรถไฟ Sannomiya เพื่อกลับสู่ที่พักที่ Osaka ครับ จบลงแล้วครับ การเที่ยวแบบลุยเดี่ยวและวางแพลนเองมั่วๆกับเมืองโกเบ เหนื่อยและสนุกใช้ได้เลยครับ ใครอยากลองเที่ยวตามก็ลองดูได้เลยนะครับ ขอให้มีความสุขกับการท่องเที่ยวครับ "ภาพถ่ายโดยนักเขียน"