แสงแดดยามเย็นใกล้ค่ำอาบไล้โบราณสถานที่ตั้งตระหง่านมาตั้งแต่สมัยทวารวดี ‘เมืองโบราณคูบัว วัดโขลงสุวรรณคีรี’ จุดมุ่งหมายการมาทีแรกอาจเป็นเพียงการฆ่าเวลา ที่ทำให้พาตัวเองเข้าไปอยู่ยังโบราณสถานแห่งนี้ แต่เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปยังสถานที่นี้เท่านั้นความรู้สึกทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป ความเงียบสงบของบรรยากาศรอบกายทำให้เกิดความสงบขึ้นภายในหัวใจ เมื่อเบื้องหน้าคือโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่ยิ่งรู้สึกว่าตัวเราเล็กลงไปทันที ก้อนอิฐทุกก้อนแม้จะกลายเป็นเพียงซากปรักหักพังแต่กลับเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวอันยาวนาน เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต ภาพโดยผู้เขียน ภาพโดยผู้เขียนกองอิฐที่เรียงตัวกันของโบราณสถานที่อยู่ตรงหน้าทำให้เกิดความสงสัยขึ้นมาว่า สถานที่นี้ในอดีตมีความสำคัญอย่างไรโบราณสถานวัดโขลงสุวรรณคีรีแห่งนี้นั้น เมื่อย้อนกลับไปในสมัยทวารวดีสถานที่แห่งนี้คือวิหาร ศาสนสถานของชาวพุทธซึ่งแอบแฝงศิลปกรรมของนิกายเถรวาทและมหายานเข้าด้วยกัน แต่ในปัจจุบันสิ่งที่หลงเหลือให้เห็นเป็นแค่ส่วนฐานเท่านั้น ‘ก้อนอิฐทุกก้อนบ่งบอกถึงความเป็นศิลปะสมัยทวารวดี’ อิฐขนาดใหญ่ที่เราเห็นนั้นถ้าไม่กลับมาศึกษาโดยละเอียดและมองด้วยสายตาก็คงคิดว่าเป็นหินศิลาแลงทั่วไปแต่แท้จริงแล้ว ก่อนอิฐแต่ละก้อน คนในสมัยนั้นช่างสรรสร้างภูมิปัญญาตามยุคสมัยได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ อิฐขนาดใหญ่แต่ละก้อนนั้นถูกทำมาจากแกลบข้าวเหนียวผสมกับดินและนำไปเผาไฟ การก่อสร้างนั้นจะใช้การเรียงของอิฐทีละก้อนและประสานด้วยดินเหนียวเนื้อละเอียดที่ผสมยางไม้หรือน้ำอ้อยเป็นดินสอ คือการประสานอิฐแต่ละก้อนนั่นเอง ภาพโดยผู้เขียน ภาพโดยผู้เขียนความเป็นมาของศิลปะสมัยทวารวดี ศิลปะสมัยทวารวดีเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ในสมัยพุทธศตวรรษที่ 10 ซึ่งเริ่มต้นจากการที่จีนต้องการรับพระพุทธศาสนาจึงมีการเชิญพระภิกษุจากอินเดียมาเผยแผ่ศาสนาไปยังประเทศจีน คำว่า ‘ทวารวดี มาจาก คำว่าทวารวติ’ ซึ่งศูนย์กลางการปกครองมีการกันว่าสันนิฐานน่าจะอยู่บริเวณ อู่ทอง ลพบุรี และนครปฐม ซึ่งเมื่อโบราณคูบัว จังหวัดราชบุรี เป็นหนึ่งในวัฒนธรรมทวารวดีที่อยู่ตอนใต้สุดคืออยู่ในลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ภาพโดยผู้เขียนถ้าเพียงมองผ่านด้วยสายตาผู้ที่มาที่นี่อาจได้เห็นเพียงเศษซากปรักหักพัง แต่ถ้ามองอย่างลึกซึ้งและลองค้นคว้าศึกษาโบราณสถานแต่ละที่ถือเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทรงคุณค่าได้เป็นอย่างดี เอกสารอ้างอิง:เอกสารบทความเรื่องเมืองโบราณคูบัว โดย ผศ.จิรัฐิ เจริญราษฎร์ :ศิลปะทวารวดี บรรยายโดย รศ.ดร.ศักดิ์ชัย สายสิงห์