เราเกิดในยุคที่ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตอาหารอันเลื่องชื่อในระดับเวิลด์คลาส จะขึ้นเหนือล่องใต้มิวายต้องลิ้มลองอาหารประจำถิ่นเพื่อให้ได้ชื่อว่าไปถึงยังถิ่นนั้นแล้ว แม้กระทั่งกรุงเทพมหานครที่รายล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้า แต่จนแล้วจนรอดอาหารการกินที่มีชื่อลือลั่นระดับโลกยังคงเป็นอาหารริมทาง (Street Food) อยู่ดี ใกล้กันนี้เมืองเก่าอย่างพระนครศรีอยุธยาที่นึกว่าจะมีแต่วัดวาอารามที่มีชื่อเสียง ที่ไหนได้ยังขึ้นชื่อลือชาเรื่องกุ้งแม่น้ำเผากับน้ำจิ้มรสแซ่บกับโรตีสายไหมที่วางขายแทบทุกตรอกซอกซอย เมื่อพูดถึงเมืองเก่าแห่งนี้แล้วจึงอยากจะเล่าเรื่องปากท้องของคนยุคนี้กับคนกรุงศรีฯกันสักหน่อย เรื่องเล่าต่อไปนี้ก็มาจากจดหมายเหตุฉบับลาลูแบร์อีกเช่นเคย ลองมาดูกันว่าหากเราสามารถวาร์ปกลับไปถึงครัวแห่งกรุงศรีอยุธยาได้จะเป็นอย่างไรช่วงกักตัวป้องกันโรคระบาด หลายคนคิดถึงบรรยากาศร้านหมูกระทะกันเหลือทน เพราะข้าวสารอาหารแห้งที่ซื้อมากักตุนก็ไม่ทำให้ลิ้นได้ฟินพอกับรสชาติเดิม ๆ ทุกวัน ทุกวันนี้มีร้านปิ้งย่างเกิดขึ้นรายวัน โคขุนโพนยางคำก็ขยันขยายสาขาไปทั่วทั้งประเทศ จากที่คนไทยไม่คุ้นเคยกับอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์สักเท่าไหร่ จะเข้าร้านบุฟเฟ่ต์สักทีต้องมีโอกาสพิเศษ แต่ทุกวันนี้เรารับประทานบุฟเฟ่ต์กันจนแทบจะเป็นอาหารหลักกันไปแล้ว และต้องบอกว่าเป็นโชคดีที่พวกเราเกิดในยุคนี้ เพราะหากย้อนไปยุคกรุงศรีฯ เขามีแต่คนเฮลตี้ไม่รับประทานเนื้อสัตว์กันสักเท่าไรลาลูแบร์บันทึกไว้ในจดหมายเหตุตอนอาหารชาวสยามว่า ชาวสยามไม่ใคร่จะบริโภคเนื้อสัตว์กัน แม้จะมีคนมาฝากก็จะรับประทานเฉพาะเครื่องในกับลำไส้ ถ้าจะพูดถึงเนื้อย่างแบบสมัยนี้ให้เลิกคิดไปได้เลย กรุงศรีอยุธยาไม่มีโรงฆ่าสัตว์แบบในยุโรป แม้แต่ตลาดยุคกรุงศรีฯก็ไม่มีเนื้อย่างขาย มีแต่พวกแมลงตัวเล็ก หนอนไหม และด้วงสาคูที่ปิ้งขายกันอยู่บ้าง เหตุผลอีกอย่างที่คนกรุงศรีฯไม่ค่อยรับประทานเนื้อสัตว์กัน เพราะความเชื่อในพระพุทธศาสนาที่แรงกล้า เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเคยเสวยชาติเป็นวัวมาก่อน และยังคิดว่าญาติโกโหติกาที่ล่วงลับไปแล้ว วิญญาณจะไม่ไปเกิดแต่จะคอยดูแลปกปักรักษาลูกหลาน โดยสิงอยู่ในสัตว์สี่เท้าทั้งหลายแหล่ ครั้นจะให้ล้มวัวมาประกอบอาหารคงเป็นเรื่องผิดบาปมหันต์นั่นเองมาถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยแล้วว่า คนกรุงศรีฯรับประทานอะไรกันบ้าง เพราะพวกสัตว์สี่เท้าทั้งหมู วัว ควาย แพะ ล้วนแล้วแต่เป็นอาหารของคนในยุคนี้ทั้งนั้น ในจดหมายเหตุลาลูแบร์บอกไว้ว่า ถ้าคนกรุงศรีฯอยากรับประทานเนื้อสัตว์ ก็จะไปซื้อเนื้อจากพวกแขกมัวร์กับพวกมอญที่แอบขายตามบ้าน แต่ส่วนใหญ่คนกรุงศรีฯจะรับประทานเนื้อเต่า เนื้อตะพาบ ถ้าเป็นแกงปลาจะรับประทานเฉพาะเนื้อปลาไหล ส่วนปลาช่อนจะมาทำเป็นปลาแห้งกับปลาเค็ม นอกจากนี้ก็บริโภคผัก ไข่ไก่ ไข่เป็ด และผลไม้ตามที่หาได้ แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น ลาลูแบร์ยังกล่าวไว้อีกด้วยว่า ชาวกรุงศรีฯหลายคนนิยมรับประทานไข่จระเข้ด้วย โดยเฉพาะไข่ที่ใกล้ฟักจะชอบเป็นพิเศษมีอาหารก็ต้องมีเครื่องดื่ม ยุคนี้มีเครื่องดื่มเป็นพันชนิดให้เราเลือกสรรได้ตามใจชอบ ชานมไข่มุก โกโก้ อิตาเลียนโซดา หากเราถือแก้วเครื่องดื่มพวกนี้วาร์ปไปยุคกรุงศรีฯ คงถูกมองว่าดื่มน้ำอะไรดูพิเรนทร์ชอบกล ก็บอกไปแล้วว่าคนกรุงศรีฯเขาเป็นคนเฮลตี้ ฉะนั้นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมก็คือ น้ำฝน จะมาดื่มน้ำชากันก็ตอนชาวจีนเข้ามาบ้างในยุคหลัง ส่วนพวกสุราเมรัยจะดื่มกันเฉพาะช่วงเทศกาลรื่นเริงเท่านั้น แต่ที่ดื่มน้ำเปล่าไม่ใช่ไม่มีเครื่องดื่มชนิดอื่น อย่างโกโก้ร้อนก็มีในกรุงศรีอยุธยาแล้ว แต่จะเป็นเครื่องดื่มที่ชาวโปรตุเกสนิยมดื่มกันมากกว่าทั้งหมดคือเรื่องราวในครัวและปากท้องของคนในยุคกรุงศรีฯ จะเห็นได้ว่ายุคนั้นนิยมรับประทานอาหารที่หาได้ตามริมรั้ว ถือเป็นโชคดีที่สภาพพื้นที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งน้ำสำหรับทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ ทั้งยังสามารถจับปลาได้ตลอดทั้งปี ทำให้คนกรุงศรีฯมีทั้งปลาสดเอาไว้ทำแกง และมีปลาแห้งที่กักตุนไว้รับประทานในช่วงน้ำหลากไม่สามารถจับปลาได้ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อทางศาสนาเข้ามาพันกับอาหารการกินด้วยต่างหาก เมื่อเทียบกับสมัยนี้แล้ว ในชนบทจะยังมีวิถีการกินคล้ายกับคนกรุงศรีฯอยู่บ้าง แต่หากเป็นสังคมเมืองจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เรียกว่าเป็นเรื่องดีของคนยุคนี้ที่มีทางเลือกในการรับประทานอาหารมากขึ้นนั่นเองรูปภาพหน้าปก โดย Photographeeasia : Freepikภาพประกอบที่ 1 โดย SJ Baren : Unsplashภาพประกอบที่ 2 โดย Takedahrs : Pixabayภาพประกอบที่ 3 โดย 4537668 : Pixabay