หมู่บ้านญี่ปุ่น คือถิ่นฐานดั้งเดิมของชุมชนชาวญี่ปุ่น ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาแห่งนี้ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลจัดการของสมาคมไทย-ญี่ปุ่น มีสมาชิกประกอบด้วยชาวไทยและชาวญี่ปุ่น ทั้งส่วนบุคคลและนิติบุคคล ผู้ซึ่งมีความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และปรารถนาให้หมู่บ้านญี่ปุ่นเป็นสัญลักษณ์แห่งมิตรภาพอันยาวนานระหว่างชาวญี่ปุ่นและชาวไทยพูดถึงเมืองกรุงศรีอยุธยานั้น เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรไทยมาเป็นเวลาถึง 417 ปี นับตั้งแต่ปี พ.ศ.1893 - 2310 (ค.ศ.1350 - 1767) ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายในราชอาณาจักรไทย มีจำนวนมากขึ้นตามลำดับ ชาวต่างชาติเหล่านี้บ้างก็เป็นพ่อค้า บ้างก็เป็นบาทหลวงสอนศาสนา บางคนเป็นทหารอาสาสมัครของพระเจ้าแผ่นดินแห่งกรุงศรีอยุธยา สมัยนั้นทางการญี่ปุ่นได้อนุญาตให้ชาวญี่ปุ่นเดินเรือไปค้าขายกับต่างชาติได้ โดยออกใบอนุญาตชูอิน (ตราแดง) ให้ นอกจากจะมีเรือที่มีใบอนุญาตออกไปค้าขายแล้ว ยังปรากฏว่ามีเรืออื่นๆ ของชาวญี่ปุ่นเดินทางไปค้าขายในประเทศทางตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วยในบรรดาพวกที่เดินทางไปค้าขายนี้ มีพวกหนึ่งซึ่งเดินทางมายังกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าแผ่นดินไทยได้มีพระบรมราชานุญาตให้ชาวญี่ปุ่นมาตั้งหลักแหล่งอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเช่นเดียวกับชาวต่างชาติอื่นๆ นับแต่นั้นมาก็มีชาวญี่ปุ่นเข้ามาอาศัยอยู่ในอยุธยาเพิ่มมากขึ้น จาก 800 เพิ่มเป็น 3,000 คน ถ้าจะนับรวมไปถึงผู้อาศัยและคนงาน อาทิเช่น คนไทย, จีน, ญวน ก็นับเป็นจำนวนถึง 8,000 คน ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์กล่าวว่า ชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ในกรุงศรีอยุธยานี้ มีหัวหน้าปกครองเป็นระยะ โดยขอกล่าวถึง ยามาดะ นางามาซะ หรือ ยามาดะ นินซาเอมอง ชาวญี่ปุ่นผู้มีบทบาทสำคัญอยู่ในช่วงปี ค.ศ.1617 - 1630 ท่านเกิดมาในสมัยเอโดะหรือสมัยโตกุกาวะ ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นชาวจังหวัดโอวาริ (แถบเมืองนาโกย่าในปัจจุบัน)เมื่อปี พ.ศ.2155 (ค.ศ.1612) ยามาดะ นางามาซะ เดินทางด้วยเรือสำเภาจากญี่ปุ่นมายังไต้หวัน และเดินทางต่อมายังกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม ท่านเป็นพ่อค้าคนกลาง ส่งสินค้าจากอยุธยาไปขายยังต่างประเทศด้วยเรือสำเภา และเป็นผู้สนับสนุนความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ต่อมาในปี พ.ศ.2164 ยามาดะ นางามาซะ ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าหมู่บ้านญี่ปุ่น และ เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่น บังคับบัญชาทหารรับจ้างญี่ปุ่น ซึ่งมีทหารอาสาญี่ปุ่นราว 800 คนยามาดะ นางามาซะ เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแผ่นดินไทยมากที่สุด เหตุนี้จึงได้รับการแต่งตั้งเป็นออกญาเสนาภิมุขในปี พ.ศ.2171 และหลังจากที่พระเจ้าทรงธรรมเสด็จสวรรคตในปี ค.ศ.1628 ออกญาเสนาภิมุขได้แสดงความจงรักภักดีต่อโอรส 2 พระองค์ของพระเจ้าทรงธรรม ต่อมาออกญาเสนาภิมุขได้เดินทางไปยังเมืองนครศรีธรรมราชในฐานะผู้บัญชาการกองทหารอาสาสมัครเพื่อปราบกบฏที่นั่น เมื่อปราบกบฏจนราบคาบแล้ว ออกญาเสนาภิมุขจึงได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ.2173 (ค.ศ.1630) และสิ้นชีวิตในเดือนกันยายน ปีเดียวกันภายในหมู่บ้านญี่ปุ่น มีแหล่งเรียนรู้ให้นักท่องเที่ยวชมอยู่สองอาคาร อาคารแรกอยู่ทางด้านหน้า เป็นศูนย์ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยา ภายในประกอบไปด้วย แผนที่กรุงศรีอยุธยาอันเก่าแก่, ผ้าบิงกะตะ, เหล้าอะวาโมริ, กระปุกสังคโลก, พัดญี่ปุ่น, ดาบญี่ปุ่น และอีกมากมายให้ได้ศึกษาเรียนรู้ เราจะลองยกตัวอย่างมาให้ชมเป็นบางส่วน ดังนี้Iudea (ยูเดีย) เป็นแผนที่กรุงศรีอยุธยาที่เก่าแก่และงดงามที่สุดแผ่นหนึ่ง เป็นภาพวาดสีน้ำมัน วาดโดย ดาวิด และ โยฮันเนส วิงโบนส์ ชาวฮอลันดา เมื่อปี พ.ศ.2206 (ค.ศ.1663) ตรงกับสมัยพระนารายณ์ แผนที่มีขนาด 97 x 140 ซม. แผนที่ชิ้นนี้วาดขึ้นในช่วงซึ่งสถานที่สำคัญต่างๆ ยังอยู่ครบสมบูรณ์ แสดงสภาพเกาะเมืองล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐ เทือกเขา แม่น้ำ ลักษณะอาคารบ้านเรือน วัดวาอาราม ความวิจิตรโอฬารของพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนถนนหนทางที่ปูด้วยอิฐ และคูคลองที่เชื่อมโยงต่อกันเป็นตาข่าย จนถูกขนานนามว่า "เวนิสแห่งตะวันออก" และสันนิษฐานว่าแผนที่นี้เคยแขวนประดับอยู่ที่ห้องประชุม Heren XVII ภายในอาคารอินเดียตะวันออก ของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไรคส์มิวเซียม กรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เหล้าอะวาโมริ (Awamori Rice Wine) รับอิทธิพลจากเหล้าไทย ใช้ข้าวไทยในการผลิต กระปุกสังคโลก (ทรงลูกพลับ) ใช้บรรจุชาและใช้ในพิธีชงชา ส่วนอีกอาคารอยู่ทางด้านหลัง บริเวณใกล้แม่น้ำ เป็นพิพิธภัณฑ์ที่แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับ ออกญาเสนาภิมุข และ ท้าวทองกีบม้า เนื่องจากได้เสนอเรื่องราวของเสนาภิมุขไปแล้วข้างต้น ในส่วนนี้ขอกล่าวถึงท้าวทองกีบม้าซึ่งมีรูปปั้นจัดแสดงอยู่ภายในอาคารหลังนี้ท้าวทองกีบม้า เป็นชาวอยุธยา ลูกครึ่งเชื้อสายโปรตุเกส-ญี่ปุ่น มีชื่อว่า มารี กีมาร์ เดอ ปีนา นางอาศัยอยู่ในหมู่บ้านโปรตุเกส ตรงข้ามหมู่บ้านญี่ปุ่น คนไทยรู้จักท้าวทองกีบม้าในฐานะต้นตำรับขนมตระกูลทอง เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทองมารี ด้วยวัย 16 ปี ได้สมรสกับออกญาวิชาเยนทร์ หรือ คอนสแตนติน ฟอลคอน เสนาบดีกรมท่า เมื่อปี พ.ศ.2225 สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ต่อมาในปี พ.ศ.2231 เกิดการยึดอำนาจ ผลัดแผ่นดิน ออกญาวิชาเยนทร์ ต้องโทษประหารชีวิต สมเด็จพระเพทราชาได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์พระองค์ใหม่ มาดามฟอลคอนจึงถูกจับและถูกคุมขังนานถึง 2 ปี ในบั้นปลายชีวิตของมาดามฟอลคอน ได้ถวายตัวรับราชการเป็นวิเสทประจำห้องเครื่องในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ตำแหน่งท้าวทองกีบม้า ต่อมาในปี พ.ศ.2275 ท้าวทองกีบม้าได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 66 ปีหมายเหตุ : ท้าวทองกีบม้า คือตำแหน่งวิเสทในห้องเครื่อง พนักงานวิเสทกลางมี 3 ตำแหน่งคือ ท้าวเทพภักดีของคาว ท้าวทองพยศของหวาน และ ท้าวทองกีบม้ารับราชการ ศักดินา 400หมู่บ้านญี่ปุ่น นับว่าเป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง การมาที่นี่จึงเป็นการได้ศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศคือ ไทยและญี่ปุ่น รวมทั้งได้เรียนรู้เกี่ยวกับบุคคลสำคัญที่มีบทบาทอยู่ในช่วงกรุงศรีอยุธยา นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถเช่าชุดยูกาตะและชุดกิโมโนเพื่อถ่ายรูปภายในสวนญี่ปุ่นได้อีกด้วย โดยเช่าชุดยูกาตะผู้ใหญ่ ราคาอยู่ที่ 100 บาทต่อชั่วโมง เด็ก 50 บาทต่อชั่วโมง แต่ถ้าเป็นชุดกิโมโน ราคาอยู่ที่ 200 บาทต่อชั่วโมงหมู่บ้านญี่ปุ่นหาไม่ยาก ขับมาตามเส้นบางปะอิน 3477 ตั้งอยู่ระหว่างวัดพนัญเชิง กับ ตลาดโก้งโค้งหมู่บ้านเปิดทุกวัน 9.30 - 18.00 น. แต่เสาร์อาทิตย์เปิดเร็วหน่อยคือ 8.30 น.