กรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร นามนี้คือ นามแรกสร้างพระนครของกรุงศรีอยุธยา ดังที่กระผมได้เคยเขียนบทความนำเสนอลงบน TrueID in Trend ไปแล้วครับ เราต่างทราบกันดีว่า กรุงศรีอยุธยา มีความหมายต่อประวัติศาสตร์ของชาติไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากเป็นประวัติศาสตร์สร้างชาติกระแสหลักที่สำคัญ ๆ โดยความสำคัญของกรุงศรีอยุธยานี้ในความหมายของประวัติศาสตร์กระแสหลักประกอบไปด้วย คือ1) เป็นจุดเริ่มแรกของกลุ่มคนชาติพันธุ์ไท ที่สามารถตั้งตัวเป็นใหญ่ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาได้ โดยการสร้างอาณาจักรที่มีความมั่นคง เสถียรภาพ ผ่านการขยายอิทธิพลเหนือดินแดนอื่น ๆ ในเขตใกล้และไกล โดยมีศูนย์กลางทางการเมืองคือ กรุงศรีอยุธยา และการเป็นเมืองที่รุ่งเรืองผ่านระบบการค้าในลักษณะเป็นเมืองท่า ที่เป็นที่รู้จักของทั้งโลกตะวันออกและตะวันตก จนเป็นที่กล่าวขานในนาม เวนิสแห่งตะวันออก 2) เป็นเมืองในอุดมคติของผู้ปกครองในสมัยหลังอย่าง กรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 1-3) ในอุดมคติที่ต้องการสร้างบ้านแปลงเมืองให้ยิ่งใหญ่แบบครั้งบ้านเมืองของกรุงศรีอยุธยา 2 ข้อสำคัญนี้ ทำให้เราได้รับการเล่าเรียน ศึกษาประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาอย่างแพร่หลายในตำราเรียน โดยมีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ พ.ศ.1893-2310 แต่เป็นที่ต้องฉงนใจว่า ประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น หรือ ในที่นี้และบทความนี้จะให้ชื่อว่า อโยธยาศรีรามเทพนคร ดังนามเมืองในสมัยนั้น เป็นที่ไม่ทราบอย่างแน่ชัด อันเนื่องมาจากการจับจ้องไปที่ข้อมูลประวัติศาสตร์ประเภทลายลักษณ์อักษรที่เป็นของไทย จึงทำให้ช่วงเวลา (Timeline) ในส่วนนี้มีน้อยมาก จนแทบจะไม่มีการนำมากล่าวถึง ประหนึ่งว่า เมือง ๆ นี้ตกลงมาจากฟากฟ้า เมืองเเห่งนี้รุ่งเรืองตั้งแต่ พ.ศ.1893 จนถึงปีที่ดับสูญ คือ พ.ศ.2310 แต่เอกสารชาติต่างประเทศผู้ที่เคยเข้ามาร่วมสมัยกับอโยธยาศรีรามเทพนครในช่วงก่อนสถาปนาและสถาปนาแรก ๆ จะให้ภาพที่น่าชัดเจน ทางผู้เขียนบทความจึงเห็นเป็นเรื่องน่าสนใจ ที่ควรจะนำมาตีแผ่ผ่านการสรุปของผู้เขียนให้ท่านผู้อ่านได้รับชมกันครับ โดยกรุงอโยธยาศรีรามเทพนคร สถาปนาขึ้นโดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) ในปี พ.ศ.1893 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในส่วนนี้ได้มีงานวิชาการรองรับแล้วว่า ปีสถาปนาที่แท้จริงของอาณาจักรนี้ คือ พ.ศ.1894 หากนับตามปฏิทินศักราชปัจจุบัน โดยอโยธยานั้น หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในพระราชพงศาวดาร ตลอดจนงานโบราณคดี ได้ชี้ชัดให้เห็นว่า พื้นที่ดั้งเดิมก่อนมีการสถาปนาอาณาจักรนั้น มีประชากรอาศัยอยู่ก่อนแล้ว โดยหลักฐานเชิงประจักษ์ ปรากฏจำนวนมากในฝั่งด้านตะวันออกของเกาะเมืองปัจจุบัน (ฝั่งสถานีรถไฟอยุธยา) แต่เอกสารต่างชาติและงานโบราณคดีตลอดจนพงศาวดารได้ให้ภาพอาณาจักรอโยธยาตอนต้นที่น่าสนใจไว้ คือประการที่ 1 กลุ่มประชากรที่อาศัยอยู่ในบริเวณดั้งเดิมของอโยธยาศรีรามเทพนครนั้น ปรากฏชาติพันธุ์ที่สำคัญอยู่ 2 กลุ่มคน คือ 1.1 เขมร 1.2 จีน โดยปรากฏผ่านหลักฐานจำพวกวัด ที่มีปรากฏอิทธิพลของศิลปะเขมร ตลอดจนวัดพนัญเชิง ที่มีตำนานการเข้ามาของคนจีนในการสร้างหลวงพ่อซำปอกง (หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง) ซึ่งส่วนนี้สนับสนุนรองรับกับเอกสารของอยุธยาเองอย่าง พงศาวดารหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ที่กล่าวถึงการสร้างหลวงพ่อวัดแพนงเชิง (พนัญเชิง) ก่อนการสถาปนากรุงถึงสามทศวรรษ และการพบเศษเครื่องถ้วยสมัยราชวงศ์หยวนประการที่ 2 ลักษณะการขึ้นมามีอำนาจของอาณาจักรอโยธยาศรีรามเทพนคร ก่อน และ หลัง พ.ศ.1894 โดยบันทึกของชาวต่างประเทศ อาทิเช่น หม่าฮวน และเอกสารทางฝั่งมลายู ค่อนข้างชี้ไปในทางเดียวกันว่า กลุ่มอโยธยา หรือที่จีนเรียกว่า เซียน มีลักษณะการทำตัวเป็นแบบโจรสลัด ยกกองทัพเรืออกปล้นสะดมเมืองท่าทางฝั่งแหลมมลายูอยู่บ่อยครั้ง โดยเอกสารของอาลักษณ์ในกองเรือเจิ้งเหอ ที่ได้กล่าวไว้ประมาณว่า ชาวเซียนและผู้นำมักชอบการฝึกการรบทางน้ำ และออกปล้นสะดมเมืองใกล้ ๆ และมักประสบความสำเร็จ ซึ่งแน่นอนว่า การกระทำเช่นนี้ ทำให้อโยธยาได้กำลังคนที่มาเพิ่มเติมในพระนคร ในรูปแบบของ เชลยศึก ตลอดจนทรัพย์สินมีค้าต่าง ๆ และเทวรูปสิ่งศักดิสิทธิ์ ตรงนี้เห็นได้อีกเช่นกันจากการที่ใน พ.ศ.1974 ความในพระราชพงศาวดารหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ที่กล่าวถึงการยกทัพไปตีเมืองพระนคร ของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) หลังจากชนะแล้วได้กวาดต้อนทรัพยากรคน ตลอดจนเทวรูป หรือรูปปั้นสัตว์ต่าง ๆ มาไว้ที่อโยธยา การกระทำเช่นนี้นี่เองในสมัยอโยธยาศรีรามเทพนครตอนต้น ที่ทำให้อาณาจักรแห่งนี้เติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยการเติมกำลังคนในพระนครด้วยการปล้นสะดมจากเมืองท่าอื่น ๆ โดยรอบ ซึ่งก็สอดคล้องกับลักษณะการศึกสงครามของอุษาคเนย์ประการที่ 3 การค้ากับจีน นี้คือสิ่งที่สำคัญมาก โดยเอกสารของทางประเทศจีนจะให้ภาพที่ว่า เซียนในเอกสารจีนเริ่มส่งบรรณาการให้จีนครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.1835 และมีการส่งบรรณาการให้จีนเพิ่มขึ้น ๆ เรื่อย ๆ ในแต่ละปี โดยในช่วงศตวรรษที่ 20-21 ค่อนข้างชัดเจนว่าราชสำนักของอโยธยาศรีรามเทพนครได้ส่งบรรณาการให้จีนมากที่สุดเหนือเมืองท่าอื่น ๆ โดยการค้ากับจีนนี้เอง ที่ทำให้ราชสำนักร่ำรวย เพราะการค้าข้ามทะเล คือสิ่งสำคัญที่สุดในรัฐโบราณในการสร้างรายได้ และสำหรับโลกของเอเชียแล้วนั้น จีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด ที่ทรัพยากรและความต้องการ ตลอดจนอำนาจมากที่สุด ตั้งนั้น การค้ากับจีนในรูปแบบจิ้มก้อง จึงสำคัญต่อการค้าและรายได้ให้อโยธยาอย่างมหาศาล และการที่อโยธยาดำเนินนโยบาย ทั้งการโจมตีเมืองท่าคู่แข่ง ปล้นสะดม และค้าขายไปด้วยนี่เอง จึงทำให้อโยธยาและราชสำนักร่ำรวยขึ้นอย่างรวดเร็วในห้วงเวลาหลักศตวรรษประการที่ 4 อยุธยาค่อนข้างที่จะต้องการรุกรานมะละกาอยู่บ่อยครั้ง จนถึงขนาดที่มะละกาต้องร้องเรียนไปยังราชสำนักจีนเพื่อให้ช่วยหยุดการคุกคาม จนในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 21 ท่าทีการรุกรานของอโยธยาที่มีต่อมะละกาคงจะเบาบางลงไป จากเอกสารฝั่งมลายูอย่าง ตำนาน เซอจาเราะห์ เมอลายู บอกว่า "ทั้งสองฝ่ายญาติดีต่อกัน มะละกาช่วยอยุธยาในสงครามกับเพื่อนบ้าน (ตีล้านนา ?) ได้รับเจ้าหญิงสยามเป็นรางวัล และเดินทางกลับมะละกาพร้อมด้วยคณะทูตจากอยุธยาซึ่งมะละกาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น" ในส่วนนี้ค่อนข้างเห็นได้ชัดแล้วว่าท่าทีของราชสำนักอโยธยาในช่วง พุทธศตวรรษที่ 21 เปลี่ยนไปสนใจทางหัวเมืองเหนือ ซึ่งก็สอดคล้องกับความในพระราชพงศาวดารของทางอยุธยาเองที่จะเห็นว่าในช่วงดังกล่าว มีศึกพัวพันกับทางอาณาจักรล้านนา และชาวต่างชาติอย่างโตเม ปิเรส ได้เขียนรายงานว่าในปี พ.ศ.2050 มะละกาและปะหังได้ปลดแอกตนเองจากอยุธยาเมื่อ 25 ปีก่อนหน้า ประการที่ 5 วังหลวงของกษัตริย์อโยธยาไม่ได้ใหญ่โตดั่งปัจจุบันที่เข้าใจ โดยเอกสารชาวจีนอย่างหม่า ฮวนและเฟน ซิน ไม่ได้บันทึกถึงที่ประทับอโยธยาที่น่าประทับใจ หรืออลังการ และกล่าวว่า ที่ประทับของกษัตริย์และตัวกษัตริย์อโยธยาเองนั้น ค่อนข้างจะเรียบง่าย ซึ่งตรงนี้สะท้อนให้เห็นว่า อโยธยาศรีรามเทพนครแรกเริ่มนั้น ไม่ได้มั่งคั่งฟุ่มเฟือยแบบที่เราเข้าใจกันมา แต่คงจะเป็นช่วงสมัยหลังเสียมากกว่า ที่อโยธยาสั่งสมความมั่งคั่ง ทั้งจากการค้าและการรุกราน ปล้นสะดมเมืองท่าหรือเมืองต่าง ๆ มาได้ จึงทำให้มีกำลังในการสร้างศาสนสถานที่ใหญ่โตมากขึ้น ตลอดจนราชสำนักมีกำลังในการสร้างวัง ที่ประทับให้อลังการมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากบันทึกชาวตะวันตกในสมัยอยุธยาตอนปลาย ที่จะให้ภาพที่แตกต่างจากตอนต้นไปอย่างสิ้นเชิง จากข้อมูลทั้งหมดในข้างต้นนี้ เป็นเพียงการยกตัวอย่างจากเอกสารชาวต่างชาติและข้อมูลที่ทางผู้เขียนได้ศึกษามาเพื่อนำมาประกอบร้อยเรียงว่า กรุงอโยธยาศรีรามเทพนครในตอนต้นนั้น เติบโตมาจากการเป็นเสมือนโจรสลัด ที่คอยออกปล้นสะดมเมืองท่าต่าง ๆ พร้อมกันกับการทำกาค้าในระบบจิ้มก้องกับราชสำนักจีนอย่างต่อเนื่องและมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้สามารถยกระดับเมืองท่าของตนเองได้และความมั่งคั่ง แต่ในช่วงต้นของอาณาจักรนั้น ความมั่งคั่งยังไม่ได้ปรากฏชัดเจนผ่านสิ่งปลูกสร้าง กษัตริย์ยังใช้ชีวิตเรียบง่าย บ้านเมืองยังไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารอย่างที่เป็นอยุธยาที่เรา ๆ เข้าใจกันครับ วัดมหาธาตุ สร้างในสมัยอโยธยาศรีรามเทพนคร รัชสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพ่องั่ว) อยุธยาตอนต้น วัดไชยวัฒนาราม สร้างในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ปลายพุทธศตวรรษที่ 22 เจดีย์วัดใหญ่ชัยมงคล สร้างในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช กลางพุทธศตวรรษที่ 22 เครดิตภาพหน้าปก : https://unsplash.comเครดิตภาพที่ 1 https://unsplash.comเครดิตภาพที่ 2 https://unsplash.comเครดิตภาพที่ 3 https://unsplash.com เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !