สวัสดีครับ กระผม ส.อ.อัศวนนท์ กุลฉวะ แอดมินเพจประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา วันนี้ก็จะมานำเสนอเรื่องราวอันเกี่ยวกับร่องรอยพระตำหนักเท่าที่ยังหลงเหลือและปรากฎร่องรอยหลักฐานอยู่ในปัจจุบัน อย่างที่ทราบครับว่า พระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยานั้นมีอาณาบริเวณกว้างขวางเป็นร้อยกว่าไร่ จึงอาจมีสิ่งก่อสร้างในเขตพระราชฐานนี้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น หมู่พระที่นั่ง พระมหาปราสาท พระราชมณเฑียร และ พระตำหนัก อีกเป็น สิบๆหลัง แต่อาคารเหล่านี้อาจเสียหายตั้งแต่ศึกเสียกรุงบ้าง โดนรื้ออิฐออกไปในสมัยหลังๆ บ้าง จึงทำให้พระตำหนักหลายๆหลังนั้นหายไป ซึ่งข้อมูลต่อไปนี้เป็นข้อมูลเท่าที่รวบรวมหามาได้ เพราะบางพระตำหนักก็แทบจะไปมีประวัติเลย บางอันผมก็เคยเขียนลงไปที่เพจประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาแล้ว จึงขอมาเขียนเผยแพร่ลงที่นี้ซ้ำอีกรอบนะครับ พระตำหนักสวนกระต่าย(พระตำหนักสวนกระต่าย พระราชวังหลวง ภาพโดยเจ้าของบทความ)พระตำหนักสวนกระต่าย ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของวัดพระศรีสรรเพชญ์ ในพระราชวังโบราณพระนครศรีอยุธยา พระตำหนักสวนกระต่าย สร้างขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อแปรพระราชฐานจากพระราชวังบวรสถานมงคล(วังหน้า)มาประทับที่วังหลวง เมื่อ จุลศักราช ๑๑๐๖ (พ.ศ.๒๒๘๗) เพราะครั้งนั้นให้บูรณะพระราชวังหลวงใหม่แทบทั้งหมด และซ่อมแซมวังหน้าที่โดนไฟไหม้ไป จึงสันนิษฐานได้ว่า พระตำหนักสวนกระต่าย สร้างในช่วงนี้ และยังเป็นที่ประทับของเจ้าฟ้าดอกมะเดื่อ (สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร)หลักฐานที่กล่าวถึงพระตำหนักหลังนี้เช่น ตำราแบบธรรมเนียมในราชสำนักครั้งกรุงศรีอยุธยา-กับ-พระวิจารณ์ฯ/ตำราราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยา ระบุ ถึงพระราชพิธีอุปราภิเษก กรมขุนพรพินิจ (เจ้าฟ้าอุทุมพร) ขึ้นเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ว่า เมื่อครั้ง ศักราช ๑๑๑๙ (พ.ศ.๒๓๐๐) ปีฉลู นพศก ในหลวงในพระบรมโกศทรงพระกรุณาสั่งกรมเทพพิพิธ ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตนั้นให้ยกขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ครั้งนั้นตั้งพิธีสวดพระพุทธมนต์พระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ปราสาท ๓ วัน ตั้งเครื่องทั้งปวงอย่างเฉลิมพระตำหนัก ปลูกโรงริมพระที่นั่งสรรเพ็ชญ์ปราสาท ตั้งเตียงที่สรงมีราชวัตรฉัตรธง ฉัตรเงิน ฉัตรทอง ฉัตรนาก ฉัตรเบญจรงค์ ตามธรรมเนียม ครั้นเข้าที่สรงแล้วพระสงฆ์รดน้ำพระพุทธมนต์แล้ว พราหมณ์ถวายน้ำกรดน้ำสังข์ แล้วทรงพระภูษาลายเขียนทองจีบโจงหางหงส์ ทรงฉลองพระองค์กรองทอง ทรงพระมาลาพระเส้าสูงสีแสด ทรงพระเสลี่ยงแห่เครื่องสูงสามชั้น ลงมาพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ เกณฑ์แห่หยุดอยู่ เสด็จลงจากเสลี่ยง เปลื้องเครื่องแต่เครื่องต้นออกเสีย เสด็จขึ้นไปเฝ้าในหลวงบนพระที่นั่ง เมื่อเสด็จกลับลงมานั้นเห็นทรงพระแสงดาบญี่ปุ่นฝักมะขามสำหรับพระราชวังบวรฯ ทรงอยู่แต่ก่อนนั้นลงมา แล้วขึ้นพระเสลี่ยงแห่ไปตำหนักสวนกระต่าย แล้วเจ้ากรมเทพพิพิธลงมาสั่งหมื่นเสมอใจราชมหาดเล็ก ว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอขึ้นไปเฝ้าบนพระที่นั่ง ล้นเกล้าล้นกระหม่อมพระราชทานพระแสงสำหรับพระราชวังบวรฯ ให้แล้วพระราชทานพระพรอวยพระชัยให้เป็นเจ้ากรมพระราชวังบวรสถานมงคลให้รับพระบัณฑูรให้หมายบอกแก่ข้าทูลละอองธุลีพระบาทฝ่ายทหารพลเรือนให้ทั่วกัน ได้ทราบเกล้าทราบกระหม่อมแต่เท่านี้ ซึ่ง กรมพระราชวังบวรสถานมงคล (กรมขุนพรพินิต) เป็นวังหน้าเพียงพระองค์เดียวที่มิได้ประทับที่พระราชวังจันทรเกษม แต่มาประทับที่พระตำหนักสวนกระต่ายแทน ดังที่พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตเลขา กล่าวไว้ว่าจึงทรงพระกรุณาโปรดให้กระทําพระราชพิธีอุปราชาภิเษก ณ พระ ที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท อัญเชิญเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตเถลิงถวัลยราชย์ ณ ที่กรมพระราชวังบวร ฯ แต่มิได้เสด็จขึ้นไปสถิต ณ พระราชวังหน้า เสด็จอยู่ ณ พระตําหนักสวนกระต่ายในพระราชวังหลวง ตามเคยเสด็จอยู่แต่ก่อนนั้นดังนั้นจึงแสดงว่า สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร ทรงอยู่พระตำหนักสวนกระต่ายนี้มาก่อนอุปราภิเษกแล้วเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นที่พระตำหนักสวนกระต่ายตามพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา ลุศักราช ๑๑๒๐ (พ.ศ.๒๓๐๑) ปีขาล สัมฤทธิศก ถึง ณ วันขึ้นแปดค่ำ เดือนหกกลางคืน เพลาเจ็ดทุ่ม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระประชวรหนัก ครั้น วันแรมห้าค่ำเดือนหกเพลาเช้า ทรงพระเสลี่ยงหิ้วมา เสด็จออก ณ พระที่นั่งทรงปืน ดํารัสให้หาพระราชบุตรผู้ใหญ่มาเฝ้าพร้อมแล้ว ตรัสมอบราช สมบัติแก่กรมพระราชวังบวรฯ ให้พระเจ้าลูกเธอทั้ง ๔ กรมถวายสัตย์ยอมเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาทต่อหน้าพระที่นั่ง อย่าให้คิดประทุษร้ายต่อกัน แล้วเสด็จกลับยังพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ เพลาห้าโมงเศษ ทรงพระเสลี่ยงหิ้วมาเข้าที่พระบรรทม ณ พระที่นั่งทรงปืน ถึงเพลาเที่ยงแล้วห้าบาท บรรทมตื่น จะเสด็จไปลงพระบังคน "หลวงราชรักษาหลวงราโชหมอนวดพยุงพระองค์ให้ทรงยืนขึ้น พระวาตะปะทะพระเนตรวิกลกลับช้อนขึ้น หายพระทัยดังดังเสียงกรน พระหัตถ์คว้าจับหลักชัยมิใคร่ จะถูก หมอนวดทั้งสองประคองให้เอนพระองค์ลงบรรทมแล้วถวายอยู่งานนวดแก้พระวาตะ ขณะนั้นกรมพระราชวังบวร ฯ ให้ไปเชิญเสด็จกรมหลวงพิพิธมนตรีพระราชมารดา และ เจ้าฟ้าจันทวดี เจ้าฟ้ากรมขุนอิสารเสนี และพระเชษฐภคินีทั้งปวง กับทั้งพระราชบุตรธิดาวงศานุวงศ์ มาพร้อมกันสิ้น , ฝ่ายเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีซึ่งทรงผนวชอยู่ ณ วัดลมุด ได้ทราบว่าทรงพระประชวรหนัก ก็ลาผนวชเสด็จลงมาอยู่ ณ พระตําหนักสวนกระต่าย และเจ้าอาทิตยราชบุตรกรมพระราชวัง ซึ่งทิวงคตนั้นออกไปเชิญเสด็จเข้ามา ณ พระที่นั่งทรงปืน แย้มฉากทอดพระเนตรดูสักครู่หนึ่งก็เสด็จ กลับไปยังสวนกระต่าย ครั้นเพลาบ่าย ๔ โมงเศษ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเสด็จสวรรคต พระชนมายุได้ ๗๘ พระพรรษา เสด็จดํารงราชสมบัติอยู่ได้ ๒๕ ปีเศษ แผ่นดินสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๔ (กรมขุนพรพนิต) ในขณะนั้นกรมหมื่นเทพพิพิธจึงเชิญเอาพระแสงดาบ พระแสงกระบี่ พระแสงง้าว ที่ข้าง ที่นั้น ส่งให้ขุนพิพิธรักษาชาวที่เชิญตามเสด็จกรมพระราชวังไป ณ พระตําหนักสวนกระต่าย และ กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี เสด็จเข้าไปข้างใน เชิญเอาพระแสงบนพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ เอาไปตําหนักศาลาลวดทั้งสิ้น และกรมหมื่นเทพพิพิธ กรมหมื่นจิตรสุนทร จึงตรัสสั่ง เจ้าพระยาอภัยราชา พระยาพระคลัง พระยารัตนาธิเบศให้ปิดประตูพระราชวังตามธรรมเนียม พอ เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีเสด็จมาตรัสเรียกกรมหมื่นเทพพิพิธออกไป สั่งให้เชิญหีบพระแสงในโรงต้น เอาไปตําหนักสวนกระต่ายทั้งสิ้น กรมหมื่นจิตรสุนทรเห็นดังนั้นก็ตกพระทัย เสด็จกลับไปพระตำหนักศาลาลวด ครั้นเพลาจะใกล้พลบค่ำ กรมพระราชวังบวรฯ มีพระบัณฑูรให้หาท้าวพระยาข้าทูลละออง ธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อย ซึ่งประชุมพร้อมกันอยู่ ณ ศาลาลูกขุนเข้ามาเฝ้า ณ พระตําหนักสวนกระต่าย จะปรึกษาราชการแผ่นดินสภาพและที่ตั้งพระตำหนักสวนกระต่ายในปัจจุบัน พระตำหนักสวนกระต่ายปัจจุบัน ตั้งอยู่ด้านด้านทิศตะวันตกด้านนอกรั้ววัดพระศรีสรรเพชญ์ ปัจจุบันเหลือเพียงฐานอิฐบางส่วนของฐานพระตำหนัก ปัจจุบันอยู่ในการกำกับดูแลของสำนักอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา(ภาพพระตำหนักสระแก้วที่ประทับกรมหมื่นสุนทรเทพ ตั้งอยู่ริมสระแก้วท้านทิศเหนือวัดพระศรีสรรเพชญ์ ในเขตพระราชวังโบราณ) ฝ่ายขุนอนุรักษ์ภูธรข้าหลวงในกรมหมื่นสุนทรเทพ พาเอาคน ณ ตําหนักสระแก้วประมาณ ร้อยเศษ ปืนข้ามกําแพงวัดพระศรีสรรเพชญ์และกําแพงโรงรถเข้ามาบรรจบคนในกรมหมื่นจิตรสุนทร ณ ตําหนักศาลาลวด และขุนพิพิธภักดีข้าหลวงในกรมหมื่นจิตรสุนทร พาคนเข้าไปกระทุ่งทําลาย บานประตูโรงแสงนอกเข้าไป เอาปืนนกสับและศัสตราวุธมาถือเป็นอันมาก ในเพลาเย็นวันนั้นพระราชาคณะห้ารูป คือ พระธรรมโคดม วัดธรรมิกราชหนึ่ง พระ ธรรมเจดีย์ วัดสวนหลวงศพสวรรค์หนึ่ง พระพุทธโฆษาจารย์ วัดพุทไธสวรรย์หนึ่ง พระเทพมุนี วัดกุฎีดาวหนึ่ง พระเทพกระวี วัดพระรามาวาสหนึ่ง แต่พระเทพมุนีนั้นมีวัสสามากกว่าทั้งนั้น เข้ามาพร้อมกันอยู่ ณ ทิมสงฆ์ ครั้นเพลาประมาณทุ่มเศษ จึงมีพระบัณฑรให้มานิมนต์เข้าไป ณ พระตําหนักสวนกระต่าย ตรัสอาราธนาพระราชาคณะทั้งห้ารูป มีพระเทพมุนีเป็นประธาน ให้ไปว่า กล่าวเล้าโลมเจ้าสามกรม ให้มาสมัครสมานสโมสรสามัคคีรสด้วยกันตามพระราชโอวาทตรัสสั่งไว้ และ พระราชาคณะทั้งห้าไปเจรจาถึงสองกลับ จนเพลาดึกสามยามเศษจะใกล้รุ่ง เจ้าสามกรมจึงมาเฝ้า กระทําสัตย์ถวายทั้งสามพระองค์รุ่งขึ้นวันแรมหกค่ำเพลาเช้า จึงเสด็จมาพร้อมกัน ณ พระที่นั่งทรงปืน สรงพระบรมศพแล้วอัญเชิญเข้าพระโกศนําขึ้นประดิษฐานไว้บนพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ครั้นถึง ณ วันแรมสิบเอ็ดค่ำเพลาบ่าย กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ กรมหมื่นเสพภักดี เสด็จมาเฝ้ากรมพระราชวัง และกรมขุนอนุรักษ์มนตรี ณ พระตําหนักตึก ขณะนั้นมีพระราชบัณฑูรตรัสปรึกษาเป็นความลับกับกรมขุนอนุรักษ์มนตรี สั่งให้วางคนไว้พร้อม และเจ้าสามกรม มิทันรู้พระองค์ จึงให้กุมเอากรมหมื่นสุนทรเทพไปจําไว้ ณ หอพระมนเทียรธรรม ให้กุมเอากรมหมื่นเสพภักดีไปจําไว้ ณ ตึกพระคลังศุภรัต ให้กุมเอากรมหมื่นจิตรสุนทรไปจําไว้ ณ ตึกพระคลังวิเศษ แล้วตรัสสั่งเจ้าอาทิตย์ว่าเขาทําแก่พระบิดาเจ้าฉันใดจงกระทําตอบแทนฉันนั้น(พระตำหนักโคหาสวรรค์ หรือ พระตำหนักตึก ตั้งอยู่ด้านทิศใต้สระพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาศน์) ครั้นถึง ณ วันแรมสิบสามค่ำ จึงมีพระบัณฑูรสั่งให้ลงพระราชอาชญาสําเร็จโทษเจ้าสามกรม ณ พระคลังวิเศษแห่งเดียวกัน และกรมหมื่นสุนทรเทพนั้นพระทัยอ่อน ร้องไห้วิงวอนผัดผ่อนเพลาไปแต่กรมหมื่นเสพภักดีนั้นน้ำพระทัยองอาจมิได้ย่อท้อต่อความตาย ตรัสให้สติเจ้าพี่ว่าจะกลัวตายไย ธรรมดาเกิดมาในมหาประยูรเศวตฉัตรดังนี้ ใครจะได้ตายดีอีกสักกี่คน และกรมหมื่นจิตรสุนทรนั้นนิ่งอยู่มิได้ตรัสประการใด เจ้าอาทิตย์จึงสั่งเจ้าพนักงานให้ลงท่อนจันทน์สําเร็จโทษเจ้าสามกรมสิ้นพระชนม์แล้ว ให้เอาพระศพทั้งสามไปฝั่ง ณ วัดโคกพระยา ตามโบราณราชประเพณี ครั้นถึง ณ วันขึ้นหกค่ำ เดือนเจ็ด ท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายจึงให้ตั้งการพระราชพิธี ปราบดาภิเษก ณ พระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรมพระราชวังบวรฯ เสด็จเถลิงถวัลยราชมไหสุริยสมบัติ สืบสันตติวงศ์ดํารงพิภพกรุงเทพมหานครบวรทวาราวดีศรีอยุธยา ลักษณะทางกายภาพของพระตำหนักทั้งสามหลังพระตำหนักสระแก้ว มีเพียงชื่อปรากฎในพระราชพงศาวดาร กับ จดหมายเหตุบ้าง แต่ก็ไม่ปรากฎว่าสร้างมาแต่สมัยไหน มีเพียงปรากฎว่าเป็นที่ประทับของกรมหมื่นสุนทรเทพ สันนิษฐานว่าเป็นอาคารไม้ชั้นเดียว วางตัวยาวตามแนวกำแพงแก้วเท่าที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน พระตำหนักสระแก้วตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือของวัดพระศรีสรรเพชญ์ ทิศใต้ของพระตำหนักติดกับสระแก้ว ซึ่งเป็นที่มาของชื่อพระตำหนัก(ฐานอาคารพระตำหนักสระแก้ว ภาพโดยเจ้าของบทความ) พระตำหนักโคหาสวรรค์ พระตำหนักโคหาสวรรค์ ตั้งอยู่ริมขอบสระด้านทิศใต้ตรงกันข้ามกับพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาศน์ภายในเขตพระราชฐานชั้นใน ลักษณะอาคารที่มีในบันทึกคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ระบุว่า พระตำหนักตึกใหญ่ ผนังนอกทาแดง ชื่อพระตำหนักโคหาสวรรค์ ๑ พระตำหนักนี้เป็นที่ประทับของสมเด็จพระพันวษาใหญ่ ซึ่งเป็นพระราชเทวีสมเด็จพระนารายน์แต่ก่อนมา ครั้นภายหลังมาเป็นพระคลังฝ่ายใน ท่านท้าวทรงกันดารรักษา มีกำแพงล้อมมีประตูชื่อสวรรคภิรมย์ แสดงว่าพระดำหนักหลังนี้มีมาไม่ต่ำกว่ารัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปัจจุบันพระตำหนักหลังนี้เหลือเพียงฐานกำแพง และตัวผนัง ฐานอาคารบางส่วน ในตัวอาคารมีร่องรอยการวางระบบท่อประปาด้วย ซึ่งน่าจะเป็นพระตำหนักที่ดีสุดในสมัยนั้น(ร่องรอยการวางระบบท่อประปา ภายในพระตำหนักโคหาสวรรค์) พระตำหนักโคหาสวรรค์ ตั้งอยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือของวัดพระศรีสรรเพชญ์ ด้านเหนือของพระตำหนักติดกับสระล้อมพระที่นั่งบรรยงก์ฯปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตพระราชวังโบราณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายในกำกับดูแลของสำนักอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา สำนักศิลปากรที่ ๓ เปิดให้เข้าชมทุกวันพระตำหนักสวนกระต่าย จากอีกหลักฐานคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม ยังระบุมีอาคารน้อยใหญ่อยู่ภายในกำแพงพระตำหนักสวนกระต่ายดังนี้ มีหออาลักษณ์อยู่ริมกำแพงสวนกระต่าย ๑ มีหอหลวงใส่พระราชดำหรับ แต่ก่อนมาอยู่ในสระมุมกำแพง มุมกำแพงสวนกระต่าย ๑ มีพระตำหนักห้าห้อง ฝาเขียนทองพื้นลงรักอยู่ในกลางสวนกระต่าย ๑ สรุปสำหรับ พระตำหนักที่กล่าวมา ๓ หลังนี้ แต่ละหลังจะเหลือซากฐานมากน้อยแตกต่างกันไป ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตพระราชวังโบราณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายในกำกับดูแลของสำนักอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา สำนักศิลปากรที่ ๓ เปิดให้เข้าชมทุกวัน อ้างอิง- พระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา- คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม