“การเพาะเห็ดฟาง” ในอดีตเป็นเพียงอาชีพเสริมของคนในชุมชนบ้านกลางขุย หรือ "บ้านขุย" ซึ่งตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 5 ตำบลหนองไม้ซุง อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายหลังฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าวในนาเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น โดยใช้ฟาง และซังข้าวเป็นวัสดุในการเพาะ แต่ปัจจุบันหลายครอบครัวได้นำการเพาะเห็ดฟางมาเป็นอาชีพหลัก ทำให้เห็ดฟางจากบ้านกลางขุย มีผลผลิตออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี การเพาะเห็ดฟางที่บ้านกลางขุย เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2518 โดยมีครูจากอำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาสาธิตวิธีการเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ยให้ชาวบ้านดู ซึ่งได้ผลผลิตดี เมื่อการเพาะเห็ดฟางครั้งแรกประสบความสำเร็จ จึงมีการนำไปขยายผลต่อ จนเกิดเป็นอาชีพเสริมขึ้นทั้งหมู่บ้าน มีคนผลิตเชื้อเห็ดและอุปกรณ์เพาะเห็ดขาย มีรถพ่อค้าวิ่งเข้ามารับซื้อเห็ดถึงที่ และนำไปขายต่อยังตลาดในกรุงเทพ การเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ย ได้ทำต่อเนื่องกันมาถึงปี 2528 ก็มาถึงจุดเปลี่ยนแปลง เมื่อพบว่าการเพาะเห็ดฟางแบบกองเตี้ยที่ทำกันอยู่ ให้ผลผลิตไม่แน่นอน ต้องอาศัยสภาพดินฟ้าอากาศ และไม่สามารถผลิตเห็ดให้มีคุณภาพสูงพอที่จะส่งออกเป็นการค้าตลอดทั้งปีได้ จึงได้นำการเพาะเห็ดฟางแบบโรงเรือนที่สามารถผลิตเห็ดได้ตลอดปีมาใช้แทน และได้รับความนิยมแพร่หลายในเวลาต่อมา จนมีการเพาะแบบโรงเรือนกันทั้งหมู่บ้านจนถึงปัจจุบัน และบางครอบครัวได้ยึดเอาการเพาะเห็ดฟางแบบโรงเรือนนี้ เป็นอาชีพหลักแทนการทำนาที่เคยทำมาแต่เดิม การเพาะเห็ดฟางแบบโรงเรือน เป็นการใช้ความรู้ทางด้านการเกษตรแผนใหม่เข้าช่วยในทุกขั้นตอนของการเจริญเติบโต จนกระทั่งเกิดดอกและเก็บเกี่ยว การเพาะเห็ดฟางแบบนี้ แม้การลงทุนครั้งแรกจะสูงในด้านการก่อสร้างโรงเรือน เครื่องกำเนิดไอน้ำเพื่ออบฆ่าเชื้อ และอุปกรณ์อื่น ๆ แต่ก็สามารถผลิตเห็ดคุณภาพสูง ออกสู่ท้องตลาดได้อย่างต่อเนื่องทุกๆ วัน ซึ่งเห็ดฟางจากที่นี่ ถูกนำส่งไปขายถึงตลาดในกรุงเทพฯ ครั้งละเป็นตันเลยทีเดียว จึงนับได้ว่าที่นี่เป็นแหล่งผลิตเห็ดฟางแหล่งสำคัญแหล่งหนึ่งในตลาดเห็ดเลยก็ว่าได้ ปัจจุบันบ้านกลางขุย มีจุดสาธิตการเพาะเห็ดฟางสำหรับคนที่สนใจเข้ามาศึกษาดูงาน และมีโรงเรือนเพาะเห็ดฟางมากกว่าร้อยโรงเรือน มีพ่อค้ามารับซื้อในราคาขายส่งอยู่ที่ 50-70 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งจะเก็บผลผลิตได้ 200-250 กิโลกรัม/โรงเรือน รายได้เฉลี่ยต่อรุ่นอยู่ที่ 7,400- 10,000 บาทต่อโรงเรือน ข้อดีของการเพาะเห็ดฟางแบบโรงเรือนก็คือ สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ จึงสามารถเพาะได้ตลอดทั้งปี เคล็ดลับที่สำคัญ คือ การอบไอน้ำโรงเรือนที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส นาน 5 ชั่วโมง เพื่อป้องกันเชื้อราและเห็ดขี้ม้า การเพาะเห็ดฟางแบบโรงเรือน 1 รุ่น ใช้เวลา 18 วัน การเก็บดอกเห็ดจะเริ่มเก็บดอกเห็ดรอบแรกได้วันที่ 11-13 แล้วพักเส้นใย 2 วัน แล้วเก็บรอบที่สองในวันที่ 16-18 จากนั้นจะยังสามารถเก็บต่อเนื่องได้อีกหลายวัน แต่ปริมาณจะลดลงเรื่อยๆ จนหมดไปในที่สุด จึงรื้อวัสดุเพาะออกและทำความสะอาดโรงเรือนเพื่อเพาะรุ่นต่อไป เมื่อรวมระยะเวลาในการเพาะและทําความสะอาดโรงเรือนแล้ว 1 รุ่นจะใช้เวลาราว 1 เดือน วัสดุที่รื้อออกหลังจากการเพาะเห็ดฟางนี้ ยังสามารถนํามาทําเป็นปุ๋ยหมักไว้ใช้ในสวนผัก ผลไม้ และนาข้าวได้ ช่วยลดต้นทุนในการผลิตของเกษตรกรได้อีกวิธีหนึ่ง เห็ดฟางจากบ้านกลางขุย ได้รับใบรับรองการผลิตพืชที่ปลอดภัยจากสารพิษ หรือ G-A-P และได้รับรางวัลชนะเลิศในการประกวดเห็ดฟาง ณ ศูนย์ศิลปาชีพพิเศษ บางไทร จึงรับประกันได้ว่า เห็ดฟางจากที่นี่ มีรสชาติดี มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าพืชผักอื่นๆ ที่สำคัญคือปลอดจากการใช้สารเคมี เห็ดฟาง สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด ทั้ง ต้ม ผัด แกง ทอด ปัจจุบันชาวชุมชนบ้านกลางขุยได้นำไปแปรรูปเป็นน้ำพริกเห็ดออกจำหน่าย และยังได้คิดค้นเมนูส้มตำเห็ดขึ้นมาให้ลิ้มลองกันอีกด้วย นอกจากเห็ดฟางแล้ว บ้านกลางขุยยังมีการเพาะเห็ดชนิดอื่นๆ ด้วย เช่น เห็ดขอน เห็ดภูฐาน มีผลผลิตออกจำหน่ายทุกวันเช่นกัน จึงสมแล้ว ที่จะกล่าวว่า “บ้านขุย เมืองเห็ด” สนใจเยี่ยมชมจุดสาธิตการเพาะเห็ด บ้านกลางขุย ติดต่อ โทร. 089-4113451 (คุณสาธิต ปานดวงแก้ว)