เป็นที่ทราบกันดีว่าสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น อยู่คู่กับสังคมไทยมาอย่างเนิ่นนาน มีบริบทต่าง ๆ มากมาย ที่ทำให้พระมหากษัตริย์นั้น จะสามารถเป็น "ผู้ยิ่งใหญ่" หรือ "ผู้ร้าย" ในสายตาประชาชนแต่ละสมัยได้ครับ แต่ที่แน่นอนคือว่า สถาบันระดับสูงเช่นนี้ ย่อมมีกฏเกณฑ์กติกาที่เข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง พูดง่าย ๆ คือ มีระเบียบแบบแผนที่ชัดเจน เรียกว่า กฎมณเฑียรบาล หรือจะกฏเกณฑ์ใด ๆ นอกเหนือจากนี้ก็เเล้วแต่ครับ ที่กำหนดบทบาทของแต่ละบุคคลในชั้นพระบรมวงศานุวงศ์ ว่ามีหน้าที่เพียงใด และชนชั้นคือกรอบสำคัญที่กำหนดบทบาทหน้าที่ของบุคคลในสังคมสมัยรัฐจารีตอีกทีหนึ่ง ซึ่งเป็นประหนึ่งการคัดกรองลดหลั่นกันไป หลายคนถ้าอ่านเพียงพงศาวดาร หรือเชื่อเรื่องบุญญาธิการเพียงอย่างเดียวนั้น ตัวของกระผมเห็นว่าเป็นการมองบริบททางประวัติศาสตร์ที่ไม่เป็นจริง เพราะประวัติศาสตร์ คือ ศึกษาบริบท เรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตที่เป็นมาอย่างถูกต้องและเป็นจริงที่สุด เรื่องของการจะเป็นพระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยาก็เช่นกันครับ ที่มีบริบทที่แบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มหนึ่งเชื่อเพียงบุญญาธิการว่าพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยามีบุญญาธิการทุกพระองค์จริง ๆ เหมาะจะเป็นพระมหากษัตริย์ และอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มคนที่เรียนประวัติศาสตร์หรือศึกษาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง เพื่อหาความเป็นจริงอันเที่ยงแท้ในเรื่องราวต่าง ๆ วันนี้ผมจะไม่มาโต้เถียงกับทั้งสองฝ่ายหรอกนะครับ แต่จะขออธิบายขยายความคำว่า บุญญาธิการ พระมหากษัตริย์สมัยกรุงศรีอยุธยาให้รับชมกันครับว่า เป็นอย่างไร ผ่านการวิเคราะห์และสรุปให้ทุกท่านได้รับชมและอ่านกันครับหากท่านอ่านประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาแต่เพียงพงศาวดาร การขึ้นมาของอำนาจพระมหากษัตริย์นั้น...ย่อมเป็นเรื่องที่มีแต่ความชอบธรรมทั้งนั้นแหละครับ...เพราะอะไรหน่ะหรือครับ ก็เพราะพงศาวดารคือเรื่องราวที่ถูกบันทึกโดยราชสำนัก พระมหากษัตริย์พระองค์นั้น ๆ ทรงสั่งให้บันทึกลงไป ดังนั้นจึงไม่ยากเลยที่จะเข้าใจได้ว่า จะต้องกล่าวหรือหาเหตุผลให้ตนเองนั้นขึ้นมาโดยชอบทางอำนาจ และป้ายสีให้แก่พระมหากษัตริย์พระองค์ก่อนที่ตนเองล้มบ้างหล่ะ ว่าไม่มีความเหมาะสมจะเป็นกษัตริย์ กษัตริย์ไม่อยู่ในทศพิศราชธรรม กษัตริย์พระองค์นั้นเป็นกาลีบ้านกาลีเมืองทำให้เกิดทุกข์เข็ญแก่ปวงประชา..........นี่คือเหตุผลแบบคร่าว ๆ เข้าใจง่าย ๆ ว่า ถ้าการเมืองไม่ลงตัว คำกล่าวเหล่านี้ คือสิ่งที่ท่านจะได้เห็นในพงศาวดารวัดพระราม สร้างในรัชสมัยพระราเมศวร เพื่อเป็นที่ถวายพระเพลิงและเก็บพระบรมอัฐิพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) ผู้เป็นพระราชบิดา ภาพจาก freepik แล้วความเป็นจริงที่จะนำมาเสนอเป็นเช่นไรหล่ะ ? : ความจริงที่ผมอยากจะนำมาเสนอให้ได้อ่านกันคือ บริบททางการเมือง อำนาจ เป็นตัวแปลสำคัญจริง ๆ ครับ จริงอยู่ที่ว่าช่วงต้นกรุงศรีอยุธยาอำนาจการแข่งกันจะขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์เป็นเรื่องของ ราชวงศ์ต่อราชวงศ์ คือ สุพรรณบุรี vs อู่ทอง (ละโว้) เพราะอะไรรู้ไหมครับ.....เพราะกฏหมาย การจัดการอำนาจสมัยต้นอยุธยานั้นยังไม่มีความรวบรัดมากนัก มีการจัดเชื้อพระวงศ์ไปครองเมืองลูกหลวงต่าง ๆ ในเขตอำนาจราชวงศ์ตนเอง ในส่วนราชวงศ์ที่ยังไม่ได้ครองอยุธยาก็จะคอยท่ารอกษัตริย์องค์ปัจจุบันสวรรคตเมื่อใด ก็จะดูว่ากษัตริย์ที่จะขึ้นต่อมีอำนาจบารมีพอมั้ย (อำนาจบารมีในที่นี้ขอจำกัดความว่า หมายถึง การมีพระชนม์มายุที่เหมาะหรือยัง มีขุนนางในอยุธยาสนับสนุนมากน้อยเพียงใด เป็นที่รักของขุนนางและประชาชนไหม) ถ้าหากมีไม่ถึงแม้ขอใดข้อหนึ่งก็เสร็จครับ เช่น พระเจ้าทองลันโอรสพระบรมราชาธิราชที่ 1 ขุนหลวงพะงั้ว (ราชวงศ์สุพรรณบุรี) ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาในขณะยังทรงพระเยาว์ ก็โดนพระราเมศวร (ราชวงศ์อู่ทอง) ยกทัพจากลพบุรีมาชิงอำนาจและสำเร็จโทษพระเจ้าทองลัน ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นครองกรุงศรีอยุธยาเป็นครั้งที่ 2 วัดมหาธาตุ สร้างในรัชสมัยพระบรมราชาธิราชที่ 1 (ขุนหลวงพะงั้ว) ภาพจาก freepik เหตุการณ์ในสมัยอยุธยาช่วงต้นเป็นเช่นนี้เรื่อยมาตลอดครับ คือ สุพรรณบุรีแข่งกับละโว้เพื่อจะเข้ามาครองอยุธยา จนสุดท้ายราชวงศ์ทางสุพรรณบุรีชนะเหนือทางอู่ทองแห่งละโว้เด็ดขาด และจัดการเรื่องการบริหารคุมอำนาจพระบรมวงศานุวงศ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในความเรียบร้อยในรัชสมัยพระบรมไตรโลกนาถ แต่...การปรับในครั้งนั้นมีการเพิ่มอำนาจให้ขุนนางมากขึ้น ทำให้หลังจากนี้จะมีตัวแปรอื่นที่แทรกเข้ามามีส่วนร่วมต่อการจะขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาด้วยครับภาพวัดพระศรีสรรเพชญ์ เขตพระราชวังหลวงกรุงศรีอยุธยา สถานที่ซึ่งเป็นหนึ่งในการประกอบพิธีถือน้ำพระพิพัตย์สัตยาของเหล่าขุนนาง ภาพจาก freepik หลังการเพิ่มอำนาจให้เหล่าขุนนาง ทำให้ขุนนางมีอำนาจเพิ่มมากขึ้นและมี "ส่วนสำคัญ" ต่อการเลือกตัวผู้ที่จะมาเป็นพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยาด้วย ดังจะเห็นได้ในเหตุการณ์ใหญ่ ๆ อย่าง การที่ขุนพิเรศทรเทพ (พระมหาธรรมราชา พระบิดาพระนเรศวรในเวลาต่อมา) เป็นตัวตั้งต้น วางแผนล้มขุนวรวงศาธิราชและแม่หยัวศรีสุดาจันทน์ ซึ่ง ณ ตอนนั้นทั้งคู่ได้เป็นพระมหากษัตริย์และมเหสีแห่งกรุงศรีอยุธยาแบบ 100% แล้ว โดยขุนพิเรศทรเทพร่วมกับขุนนางอีกหลายคน นำกำลังคนจากเมืองเหนือ (เมืองพิษณุโลก สวรรคโลก พิชัย เหล่านี้เป็นต้น) ลงมาวางกลลอบสังหารขุนวรวงศาธิราชและแม่หยัวศรีสุดาจันทน์ จนกระทำการสำเร็จ และอัญเชิญตัวของพระเฑียรราชา (โอรสสนมในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2) ซึ่งขณะนั้นผนวชเป็นพระอยู่ให้มารับราชสมบัติเป็นกษัตริย์อยุธยาสืบต่อไปจะเห็นได้ว่า การจะเป็นพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาในช่วงนี้เป็นต้นไป ผู้จะได้มาเป็นกษัตริย์อยุธยานั้น ต้องได้รับความเห็นชอบสนับสนุนจากขุนนาง หรือหากขุนนางมีอำนาจมาก ก็อาจจะแทรกแซงและขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์เสียเองก็มี แม้ว่าตัวของพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาจะรับรู้และพยายามแก้ไขปรับลดอำนาจขุนนาง ก็ไม่เป็นผลเท่าที่ควร ขุนนางก็ยังคงมีอำนาจมากและปราบดาตัวเองมาเป็นกษัตริย์ได้ เห็นได้ในสมัยหลังเข้าสมัยอยุธยาตอนปลายชัดเจนครับ เช่น เหตุการณ์ออกญากลาโหมสุริยวงศ์ ปราบดาตนเองเป็นสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โดยการสำเร็จโทษโอรสทั้งสองของพระเจ้าทรงธรรม (พระเชษฐาธิราชและพระอาทิตยวงศ์) หรือในสมัยถัดมาอีกไม่นานก็เป็นออกพระเพทราชา เจ้ากรมช้างก่อการรัฐประหารยึดอำนาจพระนารายณ์ สถาปนาราชวงศ์บ้านพลูหลวงและปราบดาภิเษกตนเองเป็นกษัตริย์ นามว่า พระเพทราชาวัดไชยวัฒนาราม สันนิษฐานว่ามีการบูรณะให้ใหญ่ขึ้นและอลังการแบบศิลปะเขมร ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง เพื่อแสดงถึงบารมีและบุญญาธิการ แม้ว่าตนเองจะไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์ก็ตาม ภาพจาก pixabay จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า ขุนนางมีส่วน มีกำลัง มีบารมีขึ้นมามาก มากพอจะทำการใหญ่ แม้จะมีการพยายามลดอำนาจแล้วก็ตาม แต่นอกเหนือจากขุนนาง ตัวของพระบรมวงศานุวงศ์เองก็เช่นกัน เพราะแต่ไหนแต่ไรตั้งแต่การตรากฏมณเฑียรบาลเป็นต้นมา ผู้จำเป็นกษัตริย์ได้ต้องเป็นพระโอรสในพระมเหสี (เมียหลวงนั้นแหละ) โอรสที่กำเนิดแต่พระสนมไม่ได้มีสิทธิ์นั้น แต่หลาย ๆ ครั้ง ก็พบการพยายามจะขึ้นครองราชย์ของเหล่าโอรสจากสนม ด้วยการพึ่งพาบารมีพระมารดา ความเสน่ห์หาต่าง ๆ จนลามไปถึงการจะเป็นกษัตริย์อยุธยา นำพามาซึ่งความวุ่นวาย รบฆ่าฟันกันกลางกรุงศรีอยุธยาบ่อยครั้ง ครั้งที่หนักสุด คือ ครั้งที่พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศครั้งดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ต่อสู้กับวังหลวง ซึ่งนำโดยพระโรสในพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ (เจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมนทร) นำกำลังไพร่พลเข้าต่อสู้ชิงอำนาจกัน ทำให้อยุธยาเสียกำลังคนไปมาก สุดท้ายก็จบลงด้วยชัยชนะของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เเต่เหตุการณ์เหล่านี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยมากครับ แทบจะทุกรัชกาลของสมัยอยุธยาเลย ซึ่งนำมาซึ่งการเสียกำลังไพร่พล และอำนาจที่สั่นคลอนเพราะเป็นอำนาจที่หอมหวานนี่เอง ทำให้อยุธยาระส่ำระส่าย และไม่มีความพร้อมมากพอ จนนำไปสู่เหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาทั้งครั้งที่ 1, 2 จากเรื่องราวทั้งหมดที่ผมได้กล่าวมานี้ เข้าใจว่าไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดมากนักนะครับ แต่ก็เพราะต้องการให้ทุกท่านได้เข้าใจว่า บริบทการจะเป็นพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยานั้น มิใช่เป็นเรื่องของบุญญาธิการอย่างเดียว เนื้อแท้ของคำว่าบุญญาธิการที่พงศาวดารกรุงศรีอยุธยากล่าวมานั้น เนื้อในคือว่า ผู้ที่จะขึ้นมาเป็นพระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาได้นั้น ต้องมีอำนาจที่เป็นที่ยอมรับ หากท่านเป็นเชื้อสายราชวงศ์แต่แรก ก็แค่ต้องเอาชนะคู่แข่งที่เป็นเชื้อสายพระวงศ์ด้วยกันให้ได้ ก็ได้เป็นกษัตริย์แล้ว แต่หากเป็นขุนนางที่มีอำนาจแล้วได้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์อยุธยา ก็จะต้องพิสูจน์บารมีตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการยกทัพไปตีเอาเมือง หรือสร้างสิ่งก่อสร้างใหญ่ ๆ เช่น พระเจ้าปราสาททองทรงสร้างวัดไชยวัฒนาราม เพื่อพิสูจน์และแสดงบุญญาธิการของตนเอง แต่ก่อนจะถึงตรงเรื่องการมีบุญญาธิการมากมายนั้น ส่วนใหญ่ล้วนนองเลือด และสร้างรอยบาดแผลภายในให้อยุธยาเสมอมา......................................เครดิตภาพหน้าปก : www.freepik.com