นั่งรถไฟฟรีไปนอนเล่นที่อยุธยา อยุธยาเป็นจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ ที่จัดว่าเดินทางสะดวกสบาย สามารถไปเช้ากลับเย็น ได้ง่าย ๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรมาก หลังจากตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวอยุธยาโดยการ " นั่งรถไฟ " พวกเราเช็คตารางเดินรถไฟเรียบร้อยแล้ว ก็จัดกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น จากสถานีรถไฟหัวลำโพงใช้เวลาชั่วโมงเศษก็มาถึงจังหวัดอยุธยา หรือเชื่อเต็ม ๆ คือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ้นจากกรุงเทพฯบรรยากาศแบบนี้เลยค่ะ โล่ง ๆ โปร่ง ๆ ถึงสถานีรถไฟอยุธยาเรียบร้อยแล้วถ้าใครอยากเที่ยวแบบวันเดย์ทริปก็ทำได้ เพราะรอบ ๆ สถานีรถไฟมีรถตุ๊ก ๆ นำเที่ยววัดดังในราคาเหมา และมีรถจักรยานให้เช่าปั่นไปรอบ ๆ เมือง แต่โปรแกรมของพวกเราคือ 2 วัน 1 คืน เลยเรียกตุ๊ก ๆ ไปที่พักที่จองไว้เพื่อเข้าเช็คอิน ล้างหน้าล้างตา นั่งพักแข้งพักขารอแดดร่มแล้วค่อยออกไปไหว้พระเพื่อเป็นศิริมงคลกันดีกว่าค่ะ เริ่มจาก วัดพนัญเชิง พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง หรือชื่อที่ชาวจีนรู้จักดีคือ หลวงพ่อซำปอกง เพื่อเป็นศิริมงคลชีวิต ว่ากันว่า วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ความรักอันน่าเศร้าของ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง และพระนางสร้อยดอกหมากจากแผ่นดินจีน ตามตำนานเล่าว่า ครั้งก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา สยามประเทศในขณะนั้นไร้กษัตริย์ปกครองอยู่ระยะหนึ่ง เหล่าอำมาตย์ ข้าราชบริพาร และสมณชีพรามณ์ทั้งหลายจึงทำพิธีเสี่ยงเรือสุพรรณหงส์ เอกชัย เพื่อเสาะหาผู้มีบุญวาสนามาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อเรือแล่นมาถึงยังตำบลแห่งหนึ่ง ริมฝั่งแม่น้ำมีกลุ่มเด็กเลี้ยงวัวเล่นกันอยู่ เรือก็จอดสนิทนิ่งไม่ยอมแล่นไปไหน แม้ว่าเหล่าฝีพายจะพยายามสักแค่ไหนก็ตาม เหล่าอำมาตย์เห็นเช่นนั้น จึงเดินเข้าไปหากลุ่มเด็กเลี้ยงวัวและพบกับเด็กชายคนหนึ่งที่มีท่าทางฉลาด พูดจาฉะฉานหลักแหลมกว่าใคร จึงคิดว่าเด็กผู้นี้คงเป็นผู้มีบุญญาธิการ เลยรับตัวมาเป็นพระเจ้าแผ่นดินปกครองประเทศ ส่วนที่มาของพระนาม "พระเจ้าสายน้ำผึ้ง" คือ ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงโปรดให้ยกขบวนพยุหยาตราทางชลมารคพร้อมกับเหล่าเสนาบดี เมื่อเรือล่องมาถึงวัดปากคลอง ซึ่งเป็นเวลาน้ำขึ้น พระองค์ตรัสสั่งให้จอดเรือพระที่นั่งอยู่หน้าวัด และทอดพระเนตรเห็นรังผึ้งใต้ช่อฟ้าหน้าโบสถ์ จึงดำริว่า จะขอนมัสการพระพุทธปฏิมากรด้วยเดชะบุญญาภิสังขารของเรา เพื่อจะได้ครองไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎร์ ขอให้น้ำผึ้งหยดลงมากลั้วเอาเรือขึ้นไปประทับแทนกำแพงแก้วนั้นเถิด เมื่อตรัสจบน้ำผึ้งก็หยดลงมากลั้วเอาเรือพระที่นั่งยกขึ้นไปทันที พระเจ้ากรุงไทยจึงเสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธปฏิมากร เมื่อนมัสการแล้วเสร็จเรือพระที่นั่งก็ถอยลงมาตามเดิม บรรดาภิกษุสงฆ์และเหล่าเสนาบดีจึงพากันถวายพระพรชัยและถวายพระนามพระเจ้ากรุงไทยว่า " พระเจ้าสายน้ำผึ้ง " ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อถึงเวลาน้ำลงพระเจ้าสายน้ำผึ้งรับสั่งให้เหล่าเสนาบดีกลับไปรักษาพระนคร ส่วนพระองค์จะเสด็จโดยเรือเพียงลำพัง เพื่อเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งถึงเมืองจีน เมื่อชาวจีนเห็นว่าท่านทรงเดินทางเพียงพระองค์เดียวท่ามกลางทะเลใหญ่ แต่ยังสามารถรอดชีวิตมาได้ถือเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจ จึงนำความขึ้นทูลว่าพระเจ้าแผ่นดินจีนว่า พระเจ้าแผ่นดินไทยองค์นี้มีบุญญาธิการมาก พระเจ้าแผ่นดินจีนได้ฟังดังนั้นจึงทดสอบว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งมีบุญญาธิการจริงหรือไม่ โดยรับสั่งให้เสนาบดีไปทูลเชิญพระเจ้าสายน้ำผึ้งประทับที่อ่าวนาค ซึ่งเป็นที่ที่มีอันตรายมาก และให้ทหารเสือหมอบแมวเซาไปสอดแนมดูว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นหรือไม่ ผลปรากฎว่านอกจากจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ยังมีเสียงดุริยางค์ดนตรีเป็นที่ครึกครื้น เหมือนมีงานสมโภชรื่นเริง เมื่อพระเจ้าแผ่นดินจีนทราบดังนั้นพระองค์จึงมีรับสั่งให้จัดขบวนแห่ออกไปรับพระเจ้าสายน้ำผึ้งกลับพระราชวัง พร้อมทั้งให้ราชาภิเษกกับพระนางสร้อยดอกหมาก ธิดาบุญธรรมของพระองค์ ระหว่างการเดินทางกลับสยามประเทศ ใกล้ถึงพระราชวังพระเจ้าสายน้ำผึ้งรับสั่งให้พระนางสร้อยดอกหมากคอยพระองค์อยู่ในเรือ เนื่องจากพระองค์ต้องการเสด็จเข้าพระราชวังก่อนเพื่อจัดเตรียมขบวนเกียรติยศออกมาต้อนรับ ทว่าเมื่อขบวนเกียรติยศมาถึงพระเจ้าสายน้ำผึ้ง กลับไม่ได้เสด็จมาด้วยพระองค์เอง พระนางสร้อยดอกหมากเห็นดังนั้นจึงไม่ยอมเสด็จขึ้นจากเรือ พร้อมกล่าวว่า " มาด้วยพระองค์ก็โดยยาก เมื่อมาถึงพระราชวังแล้ว เป็นไฉนพระองค์จึงไม่มารับ ถ้าพระองค์ไม่เสด็จมารับก็จะไม่ไป " เมื่อเสนาบดีนำความไปกราบทูล พระเจ้าสายน้ำผึ้งคิดว่าพระนางหยอกเล่น จึงกล่าวเล่นๆว่า " เมื่อมาถึงแล้วจะอยู่ที่นั่นก็ตามใจเถิด " ด้วยความน้อยพระทัย พระนางสร้อยดอกหมากจึงนั่งอยู่ตรงนั้นแล้วกลั้นพระทัยตายทันที ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าสายน้ำผึ้ง จึงโปรดเกล้าให้อัญเชิญพระศพของพระนางสร้อยดอกหมากขึ้นมาพระราชทานเพลิงพระศพ ท่ามกลางความอาลัยรักของประชาชนชาวจีนและชาวไทย... และทรงให้สร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระนางสร้อยดอกหมาก โดยตั้งชื่อวัดนี้ว่า " วัดพระนางเชิญ " หรือ " วัดพนัญเชิง " นับแต่นั้นมา นอกจากไหว้พระแล้วที่วัดพนัญเชิงยังมีแพให้อาหารปลาริมแม่น้ำ บริเวณนี้เป็นจุดบรรจบกันของแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสัก มีปลามากมาย ทั้งปลาสวาย ปลาตะเพียน ฯลฯ เรียกว่า โยนปุ๊บกินปั๊บ โยนหาย โยนหาย คนอิ่มใจ ปลาอิ่มท้องค่ะ วัดราชบูรณะ เป็นวัดที่ถวายพระเพลิงเจ้าอ้ายและเจ้ายี่พระยา งดงามด้วยปรางค์ประธานที่ค่อนข้างสมบูรณ์สามารถเข้าชมภายในได้ ตื่นตากับจิตกรรมฝาผนังตามคติความเชื่อมหายานที่หาได้ยากในวัดพุทธนิกายเถวรวาทและกรุที่ได้ชื่อว่ามีสมบัติจำนวนมากมายมหาศาลจนขุด 3 ครั้งก็ยังไม่หมด กราบเจดีย์อ้าย เจดีย์ยี่อนุสรณ์ที่สวรรคตเจ้าอ้ายและเจ้ายี่พระยา เพียงเดินข้ามถนนด้านข้างของวัด เป็นอีกหนึ่งวัดที่มีความเก่าแก่มากที่สุดในอยุธยา สร้างโดยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่2 ข่าวดังเกี่ยวกับวัดนี้คือเคยถูกคนร้ายลักลอบขุดกรุภายในพระปรางค์ประธาน และเอาทรัพย์สมบัติจำนวนมากมายมหาศาลหลบหนีไป ต่อมากรมศิลปากรเข้าทำการบูรณะต่อภายหลัง พบทรัพย์สมบัติที่หลงเหลือและเครื่องทองจำนวนมากมาย ปัจจุบันประชาชนสามารถลงไปชมภาพจิตรกรรมฝาฝนังสมัยอยุธยาตอนต้นภายในกรุได้ด้วยค่ะ อ่อ แถมอีกนิด วัดราชบูรณะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ใช้ในการถ่ายทำละครเรื่อง " พิษสวาท " ด้วยค่ะ ในเนื้อเรื่องของละครพิษสวาทนั้น บอกถึงวิญญาณของนางรำชื่อ " อุบล " ที่ถูกสังหารโดยคนรักของเธอ โดยจองจำให้วิญญาณเฝ้าสมบัติในกรุอย่างไม่มีวันได้ไปผุดไปเกิด กรุสมบัติที่ถูกพูดถึงคือ พระปรางค์วัดราชบูรณะ เพราะสมัยก่อนวัดหลวง และวัดของตระกูลคนชั้นสูงที่สร้างเจดีย์ และพระปรางค์ จะมีการสร้างห้องเก็บสมบัติเอาไว้ที่ใต้ฐานเจดีย์ และพระปรางค์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และเก็บไว้เพื่อเตรียมให้กับคนรุ่นหลัง สำหรับนำมาบูรณะฟื้นฟูบ้านเมืองหลังจากเกิดศึกสงคราม และสมัยนั้นก็มีความเชื่อว่าจะต้องหาผู้ที่จงรักภักดีต่อชาติ เสียสละชีวิตเพื่อคอยเฝ้าทรัพย์สมบัติ วัดมหาธาตุ ( วัดไชยวัฒนาราม ) พูดชื่อวัดบางคนอาจไม่รู้จัก แต่ถ้าพูดถึงเศียรพระพุทธรูปในรากไม้ หลายคนต้องร้อง " อ๋อ " ทันที เพราะเป็นไฮไลต์ที่แขกไปใครมาก็ต้องแวะมาถ่ายรูปกับเศียรพระพุทธรูปหินทรายในรากไม้ เศียรพระพุทธรูปหินทรายศิลปะอยุธยา บางตำนานเล่าว่าเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนเสียกรุง ส่วนองค์พระอาจถูกทำลาย เศียรพระพุทธรูปจึงหล่นลงมาอยู่ที่โคนต้นไม้จนรากไม้ขึ้นปกคลุม บางตำนานเล่าว่าเกิดขึ้นในช่วงบูรณะเมืองขึ้นใหม่ในสมัยก่อน โดยชาวบ้านชาวเมืองขนย้ายโบราณวัตถุต่างๆมาวางกองเรียงกันไว้จนกระทั่งรากไม้ขึ้นหุ้มล้อมเศียรพระ ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าจะตำนานไหนรากไม้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติสวยงาม แปลกตาน่าดูชม เศียรพระพุทธรูปในรากต้นโพธิ์ จึงถูกยูเนสโกจัดให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกค่ะ ขอแวะเล่าตำนานหน่อยนึงใครไม่ชอบ หรือขี้เกียจอ่านก็ข้ามไปได้เลย ส่วนใครว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำก็อ่านหน่อยแล้วกันค่ะ บางตอนของตำนานมีแทรกอยู่ในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวร กับสุริโยไท ด้วยนะ เจดีย์ชัยมงคลอนุสรณ์แห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำยุทธหัตถีชนะ มังกะยอชวาพระมหาอุปราชของหงษาวดี ที่ตำบลหนองสาหร่าย จังหวัดสุพรรณบุรี ในครั้งนั้นพม่าได้ยกทัพเข้ามาในขอบขันฑสีมา สมเด็จพระนเรศวรฯ และสมเด็จพระเอกาทศรถผู้เป็นพระอนุชาได้นำทัพไปรับศึก และตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึกที่คอยระดมยิงปืนเข้าใส่พระองค์และพระคชาธาร โดยที่เหล่าแม่ทัพนายกองวิ่งตามพระองค์มาไม่ทัน พระองค์จึงประกาศด้วยพระสรุเสียงอันดังว่า " พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่าเชิญออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกันให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มีกษัตริย์ที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว " แม่ทัพของพม่าจึง ไสยช้างออกมาทำยุทธหัตถีด้วยกัน ครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรได้ทรงใช้พระแสงพลพ่าย ฟาดฟันพระอุปราชตัวขาดตะพายแล่ง เมื่อกลับมาสู่พระนครแล้ว พระองค์จะทรงลงโทษเหล่าทหารที่ตามไปไม่ทันตอนกระทำศึก ตามกฏ ระเบียบแล้วต้องโทษถึงขึ้นประหารชีวิต ช่วงเวลาที่รออาญาสมเด็จพระพันรัตน พระสังฆราช พร้อมด้วยพระสงฆ์ 25รูป ได้ขอให้พระนเรศวรพระราชทานอภัย ยกเว้นโทษให้กับทหารเหล่านั้น โดยให้เหตุผลว่าเป็นการประกาศบารมีความกล้าหาญและเก่งกาจ ของพระองค์ให้ขจรกระจายไปทั่วแคว้นทั่วแผ่นดิน สมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้สร้างเจดีย์องค์ใหญ่ขึ้น เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและความมีน้ำพระทัย ของพระองค์ที่มีต่อเหล่าทหารเหล่านั้นและพระราชทานนามว่า “ เจดีย์ชัยมงคล ” ส่วนตำนานของ พระอุโบสถ อยู่ในภาพยนตร์เรื่องสุริโยทัยค่ะ ว่ากันว่าพระอุโบสถหลังนี้เคยถูกใช้เป็นสถานนัดพบของเหล่าขุนนาง นำโดยขุนพิเรนทร์เทพและพรรคพวก ซึ่งมาเสี่ยงเทียนเพื่อจะเป็นนิมิตหมายในการไปปราบขุนวรวงค์ษาและท้าวศรีสุดาจันทร์ โดยฟั่นเทียนขึ้นมา 2 เล่ม เล่มหนึ่ง แทนตัวขุนวรวงค์ษา กษัตริย์ที่นักวิชาการ หลายท่านไม่นับรวมว่าเป็นหนึ่งในกษัตริย์อยุธยา เทียนอีกเล่มหนึ่งแทนตัวพระเฑียรราชา หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ผู้หลบหลีกปัญหาและการแย่งชิงบัลลังค์ โดยไปบวชอยู่ที่วัดราชประดิษฐาน วิธีเสี่ยงเทียนคือจุดเทียนขึ้นพร้อมกัน แต่เทียนเล่มที่เป็นตัวแทนของขุนวรวงค์ษามี เหตุให้ดับลงก่อนจึงถือว่าการล้มล้างจะเป็นผลสำเร็จ ว่ากันว่าช่วงปฏิสังขรณ์เจดีย์ขึ้นใหม่ในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้มีการค้นพบชัยมงคลคาถาบรรจุอยู่ ภายในพระอุโบสถด้วยค่ะ " ก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีก " หน้าวัดคือเด็ดมาก ใครผ่านไปอย่าลืมแวะชิม ส่งท้ายอยุธยาด้วย " บ้านข้าวหนม " คาเฟ่ขนมไทยโบราณ ขายขนมประเภท ขนมถ้วย กล้วยเชื่อม ขนมใส่ไส้ กลีบลำดวน จ่ามงกุฎ ฯลฯ แถมยังมีเครื่องดื่มชากาแฟบริการด้วย ขนมของที่นี่ชิ้นเล็ก รสชาติกำลังดี ไม่หวานมาก ทางเราเลือกชิมขนมช่อม่วง กล้วยเชื่อม ขนมถ้วย ข้าวเหนียวดำเปียกคู่กับไอศกรีม ไอศรีมมะม่วงและมะม่วงสุก ส่วนเครื่องดื่มเลือกเป็นชากุหลาบ โอ้โห ดีมาก !! อร่อยจนอยากลุกขึ้นมารำแทนแม่ช้อยเสียเองเลยค่ะ ร้าน “ บ้านข้าวหนม " ตั้งอยู่ที่ถนนอู่ทอง ต.หอรัตนไชย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ร้านเปิดทุกวัน วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.00-18.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-19.00 น. โทร. 09-7921-9465 Facebook : Baan kao nhom - บ้านข้าวหนม ทริปนี้เราเดินทางด้วยตุ๊ก ๆ และ เดินค่ะ ราคาตุ๊ก ๆ ส่วนใหญ่จะมีราคากลาง เป็นราคามาตรฐานสำหรับนักท่องเที่ยว ( สามารถต่อรองได้นิดหน่อย หรือถ้าพี่คนขับใจดีอาจมีแวะสถานที่ต่างๆแถมให้ด้วย ส่วนจะได้พี่ตุ๊ก ๆ ใจดี หรือเขี้ยวลากดินก็แล้วแต่บุญพาวาสนาส่งค่ะ อิ อิ #อยุธยา #เที่ยวอยุธยา #ทริปไหว้พระ Cr รูปภาพโดยผู้เขียน Ladyfirst ( Ladynaka )