ขุมทรัพย์กรุงศรีฯที่วัดกุฎีดาว ประวัติศาสตร์ของไทย โดยเฉพาะในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจอยู่มากมาย แต่เรื่องราวที่ลึกลับ น่าค้นหา น่าติดตามและมีความตื่นเต้นที่สุด คงไม่พ้นของเรื่อง "ขุมทรัพย์" ที่มีการเล่าลือกล่าวขานกันมายาวนาน ว่าในช่วงสมัยก่อนที่จะเสียกรุง ทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาลของพระมหากษัตริย์ ราชนิกูล เหล่าขุนนางและประชาชน ได้ถูกฝังไว้ในที่ต่าง ๆ ในเขตพระราชวัง และวัดวาอารามโดยรอบก่อนที่จะเสียกรุง เรื่องราวเหล่านี้ จึงกลายเป็นตำนานที่ดึงดูดให้นักล่าสมบัติพากันไปขุดค้นหาสมบัติในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่หลายยุคหลายสมัยผ่านไป ก็ยังไม่มีใครได้พบว่า ขุมทรัพย์ที่เล่ากันมานั้นอยู่ที่ไหน พบแต่เพียงเครื่องทองโบราณ พระเครื่อง และโบราณวัถตุต่าง ๆ ในองค์พระเจดีย์เก่า และในเขตโบราณสถาน ที่ทางกรมศิลปากรได้ขุดค้นพบและนำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเจ้าสามพระยา ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเท่านั้น "วัดกุฎีดาว" เป็นโบราณสถานอีกหนึ่งแห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ได้ถูกระบุไว้ว่า เป็นสถานที่ที่มีขุมทรัพย์โบราณฝังอยู่เป็นจำนวนมาก วัดนี้ ไม่มีการระบุไว้เกี่ยวกับประวัติการสร้างว่าเริ่มขึ้นในช่วงใด แต่คิดว่าน่าจะเป็นช่วงสมัยอยุธยาตอนต้น และน่าจะถูกทิ้งร้างไปในช่วงเสียกรุงครั้งที่สอง ในปี พ.ศ. 2310 วัดกุฎีดาว เป็นโบราณสถานที่มีความงดงาม มีทั้งองค์เจดีย์ประธาน วิหาร และพระตำหนักกำมะเลียน ซึ่งเป็นอาคารสองชั้นแตกต่างจากวัดอื่น ซึ่งน่าจะใช้เป็นศาลาการเปรียญหรือกุฏิเจ้าอาวาส ภาพโดย Kepler-22b ภาพโดย Kepler-22b เรื่องราวที่น่าสนใจของวัดนี้ เริ่มขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2503 เริ่มต้นจากที่พระองค์เจ้าพีระพงษ์ภานุเดช ได้รับสมุดข่อยโบราณมาจากพระสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งเป็นบันทึกที่เขียนถึงตำแหน่งที่ฝังขุมทรัพย์ที่บริเวณวัดกุฎีดาว พระองค์เจ้าพีระ ฯ จึงได้ไปดำเนินการขออนุญาตจากกรมศิลปากร โดยระบุว่า ถ้ามีการขุดค้นพบสมบัติ จะขอรับส่วนแบ่งเพียง 10% และจะมอบให้เป็นสมบัติของรัฐ 90% ซึ่งเมื่อทางกรมศิลปากรอนุญาติ จึงได้เริ่มทำการขุดค้น โดยในการขุดค้นครั้งนี้ พระองค์เจ้าพีระฯ ได้ชวนเพื่อนชาวต่างชาติมาร่วมขุดค้นด้วย ภาพโดย Kepler-22b ก่อนที่จะเริ่มขุด มีคนแนะนำว่าให้พระองค์ทำการบวงสรวงดวงวิญญาณและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ก่อน เพื่อเป็นการขออนุญาตและขอขมา แต่พระองค์ไม่ทรงเชื่อเรื่องเหล่านี้ จึงไม่มีการทำพิธีบวงสรวงใด ๆ ระหว่างการขุดค้น คณะทำงานของพระองค์เจ้าพีระฯ ใช้เครื่องมือที่ใช้สำหรับตรวจหาแร่ธาตุที่ฝังอยู่ในดิน เรียกว่า เครื่อง Mine Detector ซึ่งสามารถตรวจจับสัญญาณของแร่ธาตุต่าง ๆ ได้ที่ระดับความลึกกว่า 20 เมตร ถ้าพบแร่ทองคำ แร่อื่น ๆ หรือวัตถุใด ๆ ก็จะส่งเสียงสัญญาณดังออกมา ภาพโดย Kepler-22b วันแรกที่ทำการขุด เครื่องมือได้พบสัญญาณของแร่ทองคำที่บริเวณหน้าโบสถ์ คนงานจึงรีบขุดลงไปทันที แต่ปรากฎว่า พบเพียงกองกระเบื้องโบราณฝังอยู่เป็นจำนวนมากเท่านั้น ซึ่งก็ไม่พบทองคำแต่อย่างใด และในคืนนั้น เมื่อพระองค์เจ้าพีระฯ เสด็จกลับมาที่วัง ก็ทรงได้ยินเสียงเหมือนคนมาขุดดินอยู่รอบ ๆ บริเวณวัง เมื่อออกมาตรวจหาก็ไม่พบสิ่งปกติอะไร แต่เมื่อกลับเข้าไป ก็ได้ยินเสียงอีก เป็นอยู่อย่างนั้นทั้งคืน และตลอดเวลาในช่วงที่ทำการขุด ก็มีแต่เรื่องราวแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมาย เรื่องราวที่น่ากลัวที่สุด คือ การที่พระองค์ได้พบกับชายไทยโบราณ รูปร่างสูงใหญ่ แต่งตัวเหมือนนักรบ แต่ไม่มีศีรษะที่บริเวณใกล้ ๆ กับโบสถ์ที่ขุดค้น ซึ่งชาวบ้านโดยรอบ พากันบอกว่า นั่นคือ "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ซึ่งเพื่อนชาวต่างชาติของพระองค์ก็บอกว่า เคยพบวิญญาณหัวขาดลักษณะนี้เช่นกัน แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่ทำให้พระองค์เชื่อในเรื่องราวของภูติผีวิญญาณอยู่ดี ช่วงเวลาไม่นาน หลังจากที่พระองค์พบวิญญาณปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เครื่องมือก็ตรวจพบสัญญาณของแร่ทองคำอีก แต่เมื่อคนงานเตรียมจะไปขุดตรงจุดนั้น กลับมีเสียงดังมากเหมือนมีอะไรบางอย่างเคลื่อนที่อยู่ใต้ดินที่บริเวณนั้น ซึ่งเมื่อนำเครื่องมือไปตรวจอีกครั้ง ก็พบว่า สัญญาณหายไป แล้วราวกับว่า แร่ทองคำจำนวนมหาศาลได้เคลื่อนย้ายตัวออกไปจากจุดนั้นได้อย่างปาฏิหาริย์ และต่อมาก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดลักษณะแบบนี้อีกหลายครั้ง ซึ่งเล่าต่อ ๆ กันมาว่า นั่นเป็นเสียงของขุมทรัพย์ที่เคลื่อนตัวหนีไป ภาพโดย Kepler-22b ท้ายที่สุด การขุดค้นสมบัติต้องล้มเลิกไป เพราะพยายามขุดเท่าไหร่ก็ไม่พบสมบัติ และยังมีเรื่องราวร้ายแรงเกิดขึ้น คือ พระสหายชาวต่างชาติของพระองค์เจ้าพีระฯ ได้เกิดเสียชีวิตอย่างไม่คาดฝัน อีกคนหนึ่งก็หายสาบสูญไปตามตัวไม่พบ ทำให้พระองค์เจ้าพีระฯ ตัดสินใจหยุดการขุดค้นสมบัติทั้งหมด เรื่องราวของขุมทรัพย์โบราณ ที่วัดกุฎีดาว จึงยังเป็นเพียงตำนานที่ถูกเล่าขวัญถึง และมีเพียงร่องรอยของการขุดสมบัติอยู่บริเวณโบสถ์เท่านั้น จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีใครกล้าที่จะไปขออนุญาตทำการขุดหาสมบัติอีกเลย ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเกรงกลัวอาถรรพ์ต่าง ๆ ของปู่โสมเฝ้าทรัพย์ที่ได้ยินเรื่องราวเล่าลือมาก็เป็นได้ ภาพโดย Kepler-22b ใครสนใจที่อยากไปชมวัดกุฎีดาว และดูร่องรอยการขุดค้นซึ่งอยู่บริเวณหลังพระประธานในโบสถ์ สามารถเดินทางไปที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้ วัดกุฎีดาวเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 8.30 - 16.30 น. ไม่มีค่าเข้าชม โดยเมื่อไปถึงบริเวณเจดีย์วัดสามปลื้ม ที่อยู่เกาะกลางก่อนเข้าเขตเมือง ให้วนรอบเจดีย์ไปทางขวา จะมีป้ายชี้ไปทางวัดมเหยงคณ์ก่อน เมื่อขับรถไปตามเส้นทางนั้น จะพบวัดกุฎีดาวอยู่ด้านซ้ายมือ และในบริเวณใกล้เคียง ยังสามารถเข้าชมโบราณสถานในเขตวัดมเหยงคณ์ได้อีกด้วย เรื่องและภาพโดย Kepler-22b ผู้เขียน