สวัสดีค่ะนักอ่านทุกท่าน ชาว true id intred ทุกคนที่เข้ามาอ่านมาชมกันในบทความนี้นะคะ ในบทความนี้หลี่เว่ยหยางจะพาทุกท่านไปท่องเที่ยวในจังหวัดที่เป็นเมือหลวงเก่าของประเทศไทย เมื่อ 1000 ปีที่แล้ว จังหวัดอะไรนะ จังหวัดอะไรเอ่ย อ๋อ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นั่นเองหรือที่เรียกกันสั้น ๆ ในหมู่นักเดินทางว่า อยุธยา ถ้านึกถึงจังหวัดนี้หลายคนคงจะนึกถึงสถานที่ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยในยุคที่ยังเจริญรุ่งเรืองอยู่ แต่ในบทความนี้หลี่เว่ยหยางจะพาไปเที่ยวชมแหล่งเรียนรู้ควบคู่กับการท่องเที่ยวซึ่งเป็นที่ใหม่ ของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สถานที่วัฒนธรรมต่างชาติใน จังหวัพระนครศรีอยุธยา และวัดเก่าแก่ที่มีความผสมผสานวัฒนธรรมไทยจีน สถานที่เหล่านี้จะมีที่ไหนกันบ้างนะไปรับความรู้คู่การอ่านกันได้เลยค่ะ ( ในบทความนี้หลี่เว่ยหยางใช้เวลาในเที่ยว จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 1 วันเต็ม ) ศูนย์การเรียนรู้ โตโยต้าเมืองสีเขียว อยุธยา ต้องบอกก่อนเลยว่า ก่อนที่จะได้มาเยี่ยมชมที่นี่แรงบัลดาลใจที่อยากทำให้มาเยี่ยมชมที่นี่คือการที่ได้ดูคลิปวีดีโอจากช่อง Bear Hug ของพี่ซานและพี่กานต์ที่เขาได้มาเยี่ยมที่นี่ในช่วงที่เปิดวันแรก เอาหล่ะ เมื่อได้แรงบรรดาลใจมาขนาดนี้หลี่เว่ยหยางก็ชักชวนครอบครัวไปเที่ยวที่นี่หลี่เว่ยหยางได้ทำการหาข้อมูลและหาเส้นทางในการเดินทาง ศูนย์การเรียนรู้ โตโยต้าเมืองสีเขียว อยุธยา ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอเมืองพระนครศรีอยุธยาที่นี่เคยเป็นที่ดินของวัดขมิ้นมาก่อนแล้วทางโตโยต้าได้ทำการเทคโอเวอร์ที่ดินแห่งนี้ให้กลางเป็นแลนด์มาร์คสีเขียวของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตรงข้ามกับ ศูนย์การเรียนรู้ โตโยต้าเมืองสีเขียว อยุธยา จะมีตลาดนัดท่าวาสุกรีอยู่ด้านหน้าเป็นจุดสังเกตสำหรับใครที่กลัวจะหลง ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์การเรียนรู้คู่กับเมืองสีเขียวภายในเมืองสีเขียวนี้จะมีจุดพักผ่อนหย่อนใจมากมายและจุดให้ความรู้ทางสิ่งแวดล้อม 12 จุด หลี่เว่ยหยางคัดมา 6 จุด ซิกเนเจอร์ของที่นี่เลยค่ะ จะมีตรงไหนกันบ้างมาดูกันเลยค่ะ 1. ป่านิเวศน์ ถจุดนี้จะเป็นจุดที่เย็นที่สุดในเมืองสีเขียวเลยค่ะเพราะจุดตรงนี้จะเป็นจุดที่มีต้นไม้เยอะมากที่สุดต้นไม้ในบริเวณป่านิเวศน์จะปลูกติด ๆ กันเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้อากาศและดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีกด้วย 2. ศาลาเรือนไทย ศาลาเรือนไทยที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาสัมผัสความเป็นอยู่ฉบับไทย ๆ ที่ทางเมืองสีเขียวได้อนุรักษ์ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เห็นได้มาเยี่ยมชมที่นี่ถือว่าเป็นซิกเนเจอร์ของเมืองสีเขียวเลยค่ะ แต่ทางผู้บริหารเมืองสีเขียวขอวอนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมเรือนไทยหลังนี้กรุณาถอดรองเท้าทุกครั้งที่ขึ้นเยี่ยมชมและห้ามทิ้งขยะและขีดเขียนหรือทำความเสียหายให้กับเรือนไทยเด็ดขาด 3. เจดีย์วัดขมิ้น ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง เจดีย์วัดขมิ้นเป็นเจดีย์โบราณสถานที่อยู่คู่กับพระราชวังจันทร์เกษม และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา 4 . ถังขยะระบบจัดการขยะ ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง เมืองสีเขียวให้ความสำคัญกับการจัดการขยะอย่างมากเพราขยะนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำลายระบบนิเวศน์ธรรมชาติ ที่นี่เลยมีการทำถังขยะแยกประเภทสิ่งของที่จะนำมาทิ้ง อย่าง สีเขียวคือ ขยะทัวไป สีเทาคือ กระดาษ สีน้ำเงินคือ พลาสติก และ สีแดงคือ ขยะอันตราย 5.อาคารนิทรรศการภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง อาคารนิทรรศการจะนำเสนอความรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทุกชนิดที่อยู่บนโลกนี้และภายในนิทรรศกาลจะมีป่าจำลองให้ทุกท่านได้สัมผัสความสงบความสดชื่นเหมือนได้อยู่ในป่าจริง ๆ 6.รถยนต์ไฮบริด ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง รถยนต์ไฮบริดเป็นที่สุดของซิกเนเจอร์ของที่นี่เลยค่ะเพราะจะให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองขับรถไฮบริดเยี่ยมชมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาทางเมืองสีเขียวมีกติกาในการขับรถไฮบริดไว้คือ ต้อง เสียค่าใช้จ่าย 220 บาท ผู้ขับต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป ต้องมีใบขับขี่ และต้องมีความรับผิดชอบสูง โตโยต้า เมืองสีเขียวไม่มีการเสียค่าเยี่มชมใด ๆ ทั้งสิ้นยกเว้นการเช่ารถไฮบริดเท่านั้นที่มีค่าใช้จ่าย แล้วเปิดให้เยี่ยมชมตอนไหนกันนะ โดยโซนสวนเปิดตั้งแต่เวลา 06.00 – 20.00 น. สำหรับโซนอาคารนิทรรศการ เปิดบริการตั้งแต่ 10.00 – 17.00 น. หมู่บ้านญี่ปุ่น Japanese Village ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง หมู่บ้านญี่ปุ่นเป็นชุมชนชาวญี่ปุ่นในกรุงศรีอยุธยานั้นเริ่มมีขึ้นราวสมัย สมเด็จพระมหาธรรมราชา ช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 21 โดยเริ่มต้นมาจากชุมชนเล็กๆ ของพ่อค้าเรือสำเภาชาวญี่ปุ่น ซึ่งภายในหมู่บ้านนั้นสันนิษฐานว่ามีชาวญี่ปุ่นอยู่ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ พ่อค้า โรนินหรือ นักรบญี่ปุ่น ที่เข้ามาเป็นทหารอาสาญี่ปุ่นในอยุธยา และชาวญี่ปุ่นที่นับถือ ศาสนาคริสต์ เดินทางออกจากญี่ปุ่นเพื่อเสรีภาพในการนับถือศาสนา ต่อมาได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระมหากษัตริย์พระราชทานที่ดินให้ตั้งหมู่บ้าน ที่ตั้งของหมู่บ้านญี่ปุ่นนี้ก็อยู่ในบริเวณที่ตั้งเดิมของชุมชนชาวญี่ปุ่นเมื่อครั้ง กรุงศรีอยุธยา ที่ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออก ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทางตอนใต้ของเกาะเมือง โดยในสมัยนั้น ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเป็นชุมชนชาวโปรตุเกส ส่วนที่ติดกับด้านเหนือของหมู่บ้านญี่ปุ่นจะมีคลองเล็กๆ คั่นเป็น ชุมชนอังกฤษ และ ชุมชนฮอลันดา ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง แรงบัลดาลใจที่ทำให้อยากมาที่นี่เพราะว่าได้ทราบมาว่าที่เป็นสถานที่กำเหนิด พระนางตองกีมาร์ หรือ เท้าทองกีบม้า ที่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์อยุธยาที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเหนิดขนมของไทย หมู่บ้านญี่ปุ่นไม่ได้ไกลจากเมืองสีเขียว จึงได้เลือกมาเที่ยวที่นี่ อีกสาเหตุหนึ่งคือน้องชายเรียนสายญี่ปุ่นด้วยเลยอยากพามาซึมซับบรรยากาศชาวญี่ปุ่นเพื่อเป็นประโยชน์ในการเรียนต่อไป ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง ที่นี่ยังมีสวนหย่อมญี่ปุ่นที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจหรือถ่านรูปคู่กับธรรมชาติที่นี่มีให้ยืมชุดกิโมโนถ่ายรูปให้เช่าในราคาตั้งแต่ 300 บาท จนถึง 1000 บาท ที่นี่สวนไผ่ญี่ปุ่น ศาลาญี่ปุ่น และมีวิวแม่น้ำเจ้าพระยาให้ชมด้วยค่ะ ต่อไปหลี่เว่ยหยางจะพาทุกท่านไปชมซิกเนเจอร์ของหมู่บ้านญี่ปุ่นกันค่ะ ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง จุดตรงนี้คือนิทรรศกาลจัดแสดงสิ่งของที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทย ภาพนี้คือ เครื่องดนตรีของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เครื่องดนตรีชนิดนี้มีชื่อว่า กู่เจิง เป็นเครื่องดนตรีที่พระองค์ท่านทรงเล่นอยู่ประจำและอีกสิ่งหนึ่งที่วางคู่กันคือ โกะ หมากของประเทศญี่ปุ่น ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง และนี่ก็คือหุ่นขี้ผึ้งปั้นเหมือนของพระนาง ตองกีมาร์ หรือ เท้าทองกีบม้า พระนางผู้ให้กำเหนิดขนมไทยอย่างแท้จริง นิทรรศกาลจุดนี้จะจำลองถึงเหตุการณ์ที่เท้าทองกีบม้าคิดต้นขนมไทยชนิดแรกขึ้นมา อย่าง ทองหยิบ ทองหยอด และฝอยทอง ซึ่งเป็นขนมชนิดแรกที่พระนางเป็นคนคิดค้นขึ้นมา ทางผู้จัดขอวอนนักท่องเที่ยวห้ามจับหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่ ณ จุดแสดงทุกชนิด ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง ในช่วงที่ไปอาจจะเลยเดือนกรกฎาคมมาแล้วแต่ทางหมู่บ้านญี่ปุ่นยังคงมีข้อความวันทานาบาตะให้นักท่องเที่ยวได้เยี่ยมชมอยู่ค่ะ วันทานาบาตะถือว่าเป็นวันสำคัญของชาวญี่ปุ่นเลยค่ะเพราะจะเป็นวันที่ทุกคนสามารถขอพรได้ค่ะเพียงแค่นำข้อความที่เราเขียนไปแขวนไว้ที่กิ่งไผ่แค่นี้พรก็จะสำเร็จค่ะ ( หลี่เว่ยหยางเคยทำนะคะตอนนั้นขอให้ติดมหาลัยและได้เจอกับไอดอลที่ชอบผลคือได้มาทั้งสองอย่างเลยค่ะ ) วันทานาบาตะจะจัดในวันที่ 7 เดือน 7 นั่นคือวันที่ 7 เดือนกรกรฎาคมค่ะ Question ที่นี่มีค่าเยี่ยมชมไหม Answer มีค่าเข้าชม คนไทย ผู้ใหญ่ 50 บาท / เด็ก 20 บาท ต่างชาติ คนละ 50 บาท ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป 20 บาท เด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี ไม่เสียค่าเข้าชม Question แล้วที่นี่อยู่ที่ไหน Answer อยู่ที่ตำบลเกาะเรียน อำเภอเมือง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดพนัญเชิงวรวิหาร ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง มีแรงบัลดาลใจอีกแล้วค่ะ คือเคยมาทำรายงานเกี่ยวกับวัดพนัญเชิงวรวิหารกับเพื่อน ๆ ในกลุ่ม แล้วหลี่เว่ยหยางสัญญากับแม่ว่าจะพามาที่นี่ ก็เลยเลือกมาที่นี่เพราอยู่ใกล้หมู่บ้านญี่ปุ่นเลยค่ะ วัดพนัญเชิงวรวิหารเป็นวัดที่ผสมผสานวัฒนธรรมไทยและจีนเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ส่วนตรงไหนของวัดจะเป็นทั้งไทยและจีนบ้างหลี่เว่ยหยางจะพาไปชมค่ะ ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง วัดพนัญเชิง เป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนาน ก่อสร้างก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยา และไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้าง ตามหนังสือพงศาวดารเหนือกล่าวว่า พระเจ้าสายน้ำผึ้ง เป็นผู้สร้าง และพระราชทานนามว่า วัดเจ้าพระนางเชิง และพระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์กล่าวไว้ว่า ได้สถาปนาพระพุทธรูปพุทธเจ้าพแนงเชิง เมื่อปี พ.ศ. 1867 ซึ่งก่อนพระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี ภายในวัดพนัญเชิงวรวิหารพระพุทธรูปองค์ขนาดใหญ่ที่ผู้คนนิยมมากราบไหว้ขอพรกันนั่นก็คือองค์หลวงพ่อโตหรือทางวัดเรียกว่า พระพุทธไตรรัตนนายก หรือ หลวงพ่อซำปอกง นั่นเองค่ะ ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง พระพุทธไตรรัตนนายก หรือหลวงพ่อซำปอกง เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ และใหญ่ที่สุดในพระนครศรีอยุธยา หน้าตักกว้าง 20 เมตรเศษ สูง 19 เมตร เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปางมารวิชัย เคยได้รับความเสียหายในสมัยเสียกรุง แต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมมาโดยตลอด จนกระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. 2394 ได้โปรดเกล้าให้บูรณะใหม่หมดทั้งองค์ และพระราชทานนามใหม่ว่า พระพุทธไตรรัตนนายก หรือที่รู้จักกันในหมู่พุทธศาสนิกชนชาวไทยเชื้อสายจีนว่า หลวงพ่อซำปอกง คำว่า พแนงเชิง มีความหมายว่า นั่งขัดสมาธิ ฉะนั้น คำว่า วัดพนัญเชิง ( วัดพระแนงเชิง หรือ วัดพระเจ้าพแนงเชิง ) จึงหมายถึงวัดแห่งพระพุทธรูปนั่งปางมารวิชัยคือ หลวงพ่อโต หรือ พระพุทธไตรรัตนนายก นั้นเอง หรืออาจสืบเนื่องมาจากตำนานเรื่องพระนางสร้อยดอกหมาก คือ เมื่อพระนางสร้อยดอกหมากกลั้นใจตายนั้น พระนางคงนั่งขัดสมาธิ เพราะชาวจีนนิยมนั่งขัดสมาธิมากว่านั่งพับเพียบจึงนำมาใช้เรียกชื่อวัด บางคนก็เรียกว่า วัดพระนางเอาเชิง ตามสาเหตุที่ทำให้พระนางถึงแก่ชีวิต ฉะนั้น ถ้าเรียกนามวัดตามความหมายของคำว่า วัดพนัญเชิง ก็ย่อมหมายความถึงวัดที่มีพระพุทธรูปนั่งขัดสมาธิ คือหลวงพ่อโต ต่อไปจะพาไปเยี่ยมชมสถานที่ ตำนานรักที่เป็นที่สุดในจังหวัดพระนครอยุธยานั่นคือ ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากเป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงพระนางสร้อยดอกมากพระมเหสีของพระเจ้าสายน้ำผึ้งที่เป็นที่รักของชาวอยุธยาและพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ข้างในจะมีอะไรบ้างตามมาอ่านกันเลยค่ะ ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากจะที่ทั้งหมด 2 ชั้นค่ะ ชั้นแรกจะเป็นในส่วนของเจ้าแม่กวนอิมและเทพเจ้าต่าง ที่ชาวจีนและชาวไทยต่างนับถือกัน ที่นี่มีข้อห้ามคือห้ามจุดธูปเทียนเพราะจะทำให้เกิดอันตรายได้ ที่ตรงนี้ยังมีจุดเขย่าเซียมซีและจุดขายเครื่องรางของขลังเจ้าแม่สร้อยดอกหมากเพื่อความเป็นศิริมงคลด้วยค่ะ ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง ชั้นที่สองจะเป็นในส่วนขององค์เจ้าแม่สร้อยดอกหมากที่ประทับอยู่กลางห้องพระนางสร้อยดอกหมากมีประวัติดังนี้ พระนางสร้อยดอกหมาก เป็นธิดาของของเจ้าเมืองกรุงจีนที่ได้อภิเษกสมรสกับพระเจ้าสายน้ำผึ้งพระราชชาที่ปกครองอยุธยาในสมัยเมื่อนานมาแล้ว พระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงรักเจ้าแม่สร้อยดอกหมากเป็นอย่างมากจึงให้นางรออยู่บนเรือสำเภาก่อนเพื่อที่พระเจ้าสายน้ำผึ้งจะได้จัดสถานที่รับรองให้นาง แต่ด้วยความที่ราชกิจรัดตัวพระองค์จึงลืมเจ้าแม่สร้อยดอกหมากไว้บนเรือสำเภา และพระองค์ก็สั่งให้เหล่านางกำนัลไปเชิญเสด็จเจ้าแม่สร้อยดอกหมากมาประทับในวังแต่พระนางไม่ไปและยังตรัสว่า " ให้พระเจ้าสายน้ำผึ้งมารับข้าด้วยตัวเอง " พระเจ้าสายน้ำผึ้งเห็นว่านางดื้อดึงจึงทิ้งนางไว้ก่อน เมื่อพระองค์คิดได้จึงมารับนางด้วยองค์เองแต่พระนางยังคงดึงดันและตรัสอีกว่า " หากพระองค์ไม่มารับหม่อมฉันจะไม่ไป " พระเจ้าสายน้ำผึ้งคิดว่านางพูดเล่นจึงให้นางอยู่ไปก่อน จนวันรุ่งขึ้นกลับมาหานางอีกครั้งแล้วก็หยอกนางอีกครั้งว่า " หากเจ้าชอบที่นี่ก็อยู่ไปเถิด " เจ้าแม่สร้อยดอกหมากทรงน้อยพระทัยอย่างมากจึงตัดสินใจกลั้นใจตายบนเรือสำเภาในที่สุด ที่นี่จึงกลายเป็นตำนานแห่งความรักที่พระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงสร้างไว้เพื่อระลึกถึงเจ้าแม่สร้อยดอกหมากที่เป็นที่รักของพระองค์ การบูชาเจ้าแม่สร้อยหมากมีเครื่องบูชาดังนี้ 1. บูชาด้วยผ้าแพรพรรณหลากสี 2.บูชาด้วยเครื่องประดับ เช่น สร้อยมุก 3.บูชาด้วยน้ำสะอาด 4.บูชาด้วยส้ม 5.บูชาด้วยขนมปุยฝ้าย ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง ภาพนี้คือภาพเขียนเหมือนจริงของพระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางเจ้าสร้อยดอกหมาก ต่อไปจะประมวณภาพภายในวัดพนัญเชิงวรวิหารกันนะคะ ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมากยังเป็นสถานที่อีกสถานที่หนึ่งที่นิยมมาไว้แก้ปีชงด้วยค่ะหากท่านใดมีความประสงค์อยากจะแก้ปีงให้ติดต่อที่โกเอ๋ โกเอ๋จะเป็นผู้ดูแลศาลเจ้าแม่และจะคอยแนะนำวิธีไหว้ต่าง ๆ ภาพจาก สวัสดีหลี่เว่ยหยาง ที่นี่มีแวดล้อมของหมู่บ้านริมแม่น้ำเจ้าพระยาให้ชมด้วยค่ะ ถ้ามีความประสงค์อยากชมแม่เจ้าพระยาหรือจะลอยอังคารก็สามารถมาติดต่อที่ศาลาริมน้ำได้เลยค่ะ Question ที่นี่ค่าเยียมชมไหม Answer ในส่วนค่าเยี่ยมชมไม่มีค่ะ แต่จะมีในส่วนของเครื่องบูชา เช่น ดอกไม้ธูปเทียน ค่าสลากกินแบ่งรัฐบาล เงินบริจาดวัด และค่าของกินของฝากค่ะ Question วัดพนัญเชิงวรวิหารตั้งอยู่ที่ไหนคะ Answer วัดพนัญเชิงวรวิหาร ตั้งอยู่ที่หมู่ 2 ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรวิหาร แบบมหานิกาย หลี่เว่ยหยางใช้เวลาในการเที่ยวทั้งสามสถานที่ดังกล่าวภายใน 1 วันค่ะ บางที่อาจจะไปเร็วบ้างบางที่อาจจอยู่นานบ้าง ขึ้นกับเวลาที่อาจจะมีเปลี่ยนเล็กน้อยค่ะ ขอบคุณทางไกด์นำเที่ยวท้องถิ่นที่ให้ความรู้ในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่ได้ทำการรีวิวนะคะ บทความหน้าหลี่เว่ยหยางจะพาไปเที่ยวที่ไหนต้องรอติดตามกันด้วยนคะ The End