ในฐานะที่ผมเป็นผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่บุคลากรทางการแพทย์(เคย)ประเมินว่า โอกาสรอดมีเพียง 10 % แต่ ณ ตอนนี้ผมกลับมาทำงาน หรือทำอะไรต่อมิอะไรได้เทียบเท่าคนปกติ เหลือเพียงการวิ่งเท่านั้นและที่สำคัญ สมองผมยังสามารถทำงานได้มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ก็ยังคงต้องทำกายภาพอยู่ทุกวันเพื่อฟื้นฟูสิ่งที่หายไปนั่น คือ การหยิบจับ-เคลื่อนที่ด้วยอวัยวะข้างที่อ่อนแรงให้กลับมาใช้การได้อีกครั้ง ^^^ปัจจุบัน 2019-2020^^^ ผู้อ่านสามารถมองเห็นว่าอวัยวะข้างขวาดี ข้างซ้ายเสีย ของผม แต่ในขณะเดียวกัน รูปดังกล่าว คือ การฝึกเดินแทบทุกวันกับหม่าม้า หลังจากผมออกจากฟื้นฟูสวางคนิวาส อนึ่งผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองแขน-มือข้างเสียจะกระดกขึ้นครับ ... มะม้าผมเลยหาถุงทรายมาถ่วง ประกอบกับทำกายภาพแขนซ้ายซ้ำ ๆ เพื่อให้แขนซ้ายผมลงเหมือนปกติชน ในภาวะเช่นนี้ตัวผู้ป่วยส่วนใหญ่จะใช้อวัยวะข้างที่เหลืออยู่ทดแทนข้างที่เสียไป ภาษาอังกฤษเรียกว่า Compensation ความหมายตรงตัวคือ การชดเชย (ข้างที่เสียไป) เช่น ผู้ป่วยซึ่งสูญเสียอวัยวะด้านซ้าย มักใช้อวัยวะด้านขวาทดแทน ยกตัวอย่าง ผู้ป่วยมักใช้มือขวาหยิบจับสิ่งของ (แทนมือซ้าย) เป็นต้น เห็นได้ชัด ผู้ป่วยจะถนัดพิมพ์ด้วยมือขวาแทนพิมพ์สัมผัส กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ผู้ป่วยมัก “ลืมใช้ข้างที่สูญเสียไป” แต่ในทางตรงกันข้ามวิธีที่ผมใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ จากที่พูดไม่ได้ เป็นพูดได้ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ เดินไม่ได้เป็นเดินได้ มือกระดกขึ้น เป็นปล่อยและทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วงของโลกได้ รูป: พิมด้วมือซ้าย จากที่เคยเดินแล้วปลายเท้าบานออกกลายเป็นเอาส้นเท้าลงและเดินตรง คงเหลือแค่ "วิ่ง" เท่านั้น แต่ผมไม่ท้อครับ กว่าจะมีวันนี้ 2 ปีครับ ด้วยวิธีการที่เรียกว่า “ทำซ้ำ ๆ ” (Neuroplasticity) คล้าย ๆ คุณแปรงฟันโดยไม่ต้องใช้สมองคิด หรือ แปรงฟันด้วยความเคยชิน แต่กลับกัน ผู้ป่วยมักจะใจร้อน อยากหยิบจับโน่นนี่ ให้เหมือนดังเดิม ส่วนตัวผมมองว่ามันไม่น่าจะถูกหลักการกายภาพบำบัด สักเท่าไหร่ เนื่องจาก การกายภาพบำบัด น่าจะหมายถึง การฟื้นฟูร่างกายส่วนที่เสียไปให้กลับมาดังเดิม ภาษากฎหมายเรียกว่า “การกลับคืนสู่ฐานะเดิม” - เสมือนร่างกายไม่เคยได้สูญสียการทำงานของอวัยวะ(ข้างที่เสีย)ไปเลย ทั้งนี้ แนวทางปฏิบัติจะตรงตามหลักวิชาการ คือ สมองส่วนที่เสียไป จะเสียไปเลย แต่ส่วนที่เหลือจะเข้ามาทำงานแทนที่เอง แต่การเข้ามาทำแทนที่นั้นจะเกิดขึ้นได้ด้วยสองวิธีที่กล่าวข้างต้น คือ การทดแทน และการทำซ้ำ ๆ ซึ่งกระบวนการอย่างหลังผมได้รับการฝึกจากศูนย์สวางคานิวาส และนำมาปรับใช้จนถึงปัจจุบัน ครับ! ไม่เคยหยุดแม้สักวัน แม้จะเป็นวันหยุดนักขัตเลิก วันเสาร์-อาทิตย์แต่ผมก็ไม่เว้นครับ จริงอยู่ที่ตามหลักวิชาการจะเรียกระยะเวลาฟื้นฟูที่ดีที่สดว่า “นาทีทอง” คือช่วง 2-3 เดือนแรกหลังเส้นเลือดในสมองตีบ แตก ตัน การฟื้นฟูจะเร็วมาก แต่นั่นไม่ได้แปลว่าการฟื้นฟูหลังจากนี้ จะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย แต่อาจต้องใช้เวลานานขึ้น อย่างกรณีผม ช่วง นาทีทองผม (2-3 เดือนแรกหลัง-อยู่ในโรงพยาบาลจุฬาฯ) ผมได้ทักษะการพูด การกลืนอาหาร การเดิน การกางแขน-มือ การหยิบจับกลับคืนมา แต่หลังจากนั้นผมได้การเดินที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น การขว้างบอลลงตะกร้า การหยิบจับสิ่งเล็ก ๆ ได้ถนัดขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางครั้ง “การใช้ทักษะการทดแทน” ยังมีความจำเป็น เช่น การถือแก้วน้ำ การขึ้นลงบันได หรืออะไรก็ตามที่เราต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง เราควรต้องใช้ข้างที่ (ถนัด) เหลืออยู่แต่ในขณะเดียวกัน กิจกรรมใดก็ตามที่สามารถใช้มือข้างที่อ่อนแรงทำได้ จงใช้นะครับเพราะการฟื้นฟูไม่ได้เกิดเพียงข้ามคืน มันต้องอาศัยเวลานานพอสมควร ทำซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ให้เกิดทักษะ หรือการให้สมองเรียนรู้ใหม่ ก่อนจะลากันไปผมฝากวิธีการกายภาพอวัยวะข้างอ่อนแรงดังนี้ การทำกายภายมือและแขน ด้วยการทำซ้ำ ๆ คือ 1. การไล่นิ้ว : โป้งชี้ โป้งกลาง โป้งนาง โป้งก้อย ตามลำดับ 2. การหยอดกระปุกออมสินโดยใช้แค่ นิ้วโป้งและชี้ 3.หยิบลูกแก้วหยอดใส่ขวด 3. การโยนลูกบอลลงตระกล้า 4. การหยิบลูกบาศก์/ลูกเต๋า 5. การดึงดินน้ำมันสังเคราะห์ 6. การกางมือ+กำมือ วิธีที่ 3-6. ผมต้องขอโทษด้วยครับที่ไม่มีภาพประกอบเหมือน 1-2. เพราะอุปกรณ์อยู่บ้านอีกหลัง ซึ่งหลายคนเรียกว่าศูนย์ฝึกกายภาพ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ... ใช่ครับทุกวันนี้ผมก็ยังต้องกายภาพอยู่ เพราะคำว่า "หายป่วย" ผมหมายถึง 100% ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ *** ทั้งหมดทั้งมวลทำให้ผมมีวันนี้ แชนซ้ายลงเกือบจะปกติแล้ว ด้วยการทำซ้ำ ๆ กว่าสองปี ทั้งที่คุณหมอต่างประเมินว่าผมคงได้นั่งแค่ Wheelchair แต่ (ปัจจุบัน) #ปรบมือ! ***ทิ้งท้ายนะครับ เรื่อง/ปัญหา บางอย่างคุณไม่จำเป็นต้องประสบพบเจอก็เข้าใจได้ เชื่อผมนะครับโรคนี้เมื่อรอดมาแล้วมันทรมานครับ! อย่ายอมแพ้นะครับผู้ป่วยวันหนึ่ง มันจะเป็นของคุณ ขอบพระคุณภาพปก โดย geralt จาก https://bit.ly/3asgjie