(ขอบพระคุณภาพถ่ายสวยๆ จากเฮีย Akira Takumi สุดหล่อ ใจดี ไม่คิดค่าลิขสิทธิ์)เร็วๆนี้ มีนิสิตเก่าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวรที่ผู้เขียนได้เคยสอนกำลังมีแผนการไปศึกษา ณ ต่างประเทศ ร้องขอให้ผู้เขียนช่วยออกหนังสือรับรองทาง/เชิงวิชาการ (Academic recommendation letter) ซึ่งจะต่างกับจดหมายรับรองจากที่ทำงาน หรือที่เรียกภาษาอังกฤษว่า Professional recommendation letter เป็นที่แน่แท้ว่า เอกสารทั้งสองประเภทย่อมมีความแตกต่างกันในลักษณะสำคัญดังนี้ (Cr: by yanalya from https://bit.ly/2Id0Rdr )หนังสือรับรอง ทาง/เชิงวิชาการนั้นส่วนใหญ่จะออกโดยผู้สอนในสถานศึกษา เช่น มหาวิทยาลัย เพื่อรับรองความสามารถเชิงวิชาการของผู้ขอว่าดีหรือมีข้อสังเกต(เชิงบวก)มากน้อยเพียงใดอนึ่ง หนังสือรับรองประเภทดังกล่าวจะบรรยายรายละเอียดเชิงวิชาการ เช่น ผลการเรียน ปฏิสัมพันธ์ในชั้นเรียน การคิด วิเคราะห์ เป็นต้น ทั้งนี้อาจรวมถึงบรรดากิจกรรมต่าง ๆ ที่ผู้ขอได้เคยเข้าร่วมสมัยที่ยังเป็นนิสิตนักศึกษา (ถ้าผู้รับรองทราบ)ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขอ และผู้รับรองจำต้องแนบแน่นพอสมควร มิฉะนั้น ผู้รับรองน่าจะนึกไม่ออกว่าจะต้องรับรองอะไร ซึ่งในทางปฏิบัติ (อาจารย์บางท่าน) จะให้ผู้ขอร่างจดหมายมาให้เลย แต่โดยส่วนตัว ผมเองไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่เพราะทางมหาวิทยาลัย (ต่างประเทศ) ที่ผู้ขอสมัครนั้น(ย่อม)ประสงค์จะให้ผู้รับรองเป็นผู้เขียนเองมากกว่า เนื่องด้วยจะมีเอกสารอีกประเภทที่ผู้สมัครจำต้องเขียนเองเรียกว่า Statement of purpose เขียนประมาณว่าทำไมถึงเลือกสมัครเรียนกับเขา - เอกสารนี้ผู้เขียน (เท่านั้นควรต้องเขียนเอง เพื่อแสดงความพร้อมที่จะไปศึกษาต่อ) เท่าที่ทราบว่า มี Agency บางแห่งเสนอบริการเขียนให้โดยวานผู้สมัครร่างภาษาไทยให้ ... น้องครับสติเนาะ ไหน ๆ ก็จะต้องไปเรียนแล้ว น้องยังขอความช่วยเหลือกรณีนี้อยู่เลย ถามจริง ๆ น้องพร้อมที่จะไปศึกษาต่อจริง ๆ? พี่ไม่ได้ตำหนิหากน้องจะให้ทาง Agency ดังกล่าวช่วยตรวจฉบับร่าง (ภาษาอังกฤษ) ที่น้องร่าง แต่ไม่ใช่ให้เขาร่าง/เขียนใหม่ทั้งหมดพี่ไม่เห็นด้วย สมมุติน้องได้เข้าเรียนจริงๆ น้องจำเป็นต้องเขียนวิทยานพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ ไม่ทราบว่าน้องจะต้องขอยืมมือใครช่วยเขียนอีกหรือไม่? (Cr: by yanalya from https://bit.ly/3cealmk)2. ส่วนหนังสือรับรองจากการทำงาน หรือ professional recommendation letter เอกสารนี้มักออกโดยสถานที่ทำงาน/ฝึกงาน (ทั้งเต็มเวลาและบางเวลา) เพื่อสะท้อนศักยภาพด้านทำงานของน้องเท่านั้น สรุปง่ายๆ คือ น้องโตพอที่จะเข้าศึกษาต่อหรือไม่ และพี่ค่อนข้างให้น้ำหนักตรงส่วนนี้เพราะการทำงานจะทำให้น้องมองโลกได้กว้างขึ้น รวมถึงมีเป้าหมายว่าจะไปเรียนอะไร เพื่ออะไรด้วยเหตุนี้ที่กล่าวมาข้างต้นจึงน่าจะพอเห็นความแตกต่างระหว่างผู้สมัครที่เรียนปริญญาโทเลยโดยไม่มีประสบการณ์ทำงาน กับ ผู้สมัครที่มีประสบการทำงาน มันจะต่างกันอย่างมีนัยสำคัญโปรดสังเกตชื่อ ปริญญาโท ภาษาอังกฤษ Master degree ซึ่ง Master จึงน่าจะหมายถึงผู้สมัครที่มีภาวะความเป็นเจ้านาย หรือ มีประสบการณ์แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าคนจบป.ตรีจะต่อโทโดยไม่มีประสบการณ์ไม่ได้ กล่าวคือ บางมหาวิทยาลัยในต่างประเทศอาจอนุญาตให้ผู้สมัครเตรียมหนังสือรับรองเชิงวิชาการ 2 ฉบับ ... โดยส่วนตัวพี่ไม่ค่อยแนะนำผู้ที่ยังไม่เคยทำงานไปเรียนโททันที เพราะมันเหนื่อย เพราะน้องอาจต้องเสียเวลาในการหาหัวข้อตามตำรา แต่ในขณะที่คนที่มีประสบการณ์ทำงานมักนำหัวข้อจากการทำงานมาเขียนวิทยานิพนธ์ด้วยเหตุนี้พี่ในฐานะผู้สอนจึงมีกฏเหล็กในการขอออกหนังสือรับรองดังนี้ ออกให้กับน้องที่สนิทเท่านั้น ถ้าไม่สนิทไม่ออกให้ไม่ต้องร่างมาให้...เดี๋ยวเขียนเป็นภาษาอังกฤษเองจะสมัครกี่ที่ สาขาอะไร กรุณาบอกด้วย (ถ้าจะเรียนสาขาเฉพาะ)ยื่นสมัครเรียนต่อเมืองนอก ภาษาอังกฤษนะครับต้องใช้หัวกระดาษเป็นสถานที่ที่ออกหนังสือ+ลงนามรับรอง (ไม่ใช่แค่กระดาษ A4)รับรองด้านวิชาการเท่านั้น ไม่รับรองเรื่องอื่น หรือ จะรับรองข้อดี (วิชาการ) เท่าที่ทราบ ไม่อวยแน่นอน เพราะฉะนั้น ห้ามคาดหวังว่า จะให้รับรองว่าร้องเพลงดี กีฬาเด่น ไปเขียนใน statement of purpose เนาะ พี่คงเหลือวิสัยที่จะรับรองทิ้งท้ายไว้ว่ากติการ่วมของการออกหนังสือรับรองเชิงวิชาการที่น้อง อาจต้องรับรู้ร่วมกัน คือ1.ความสามารถด้านวิชาการที่น้องสมควรต้องมี อาจสะท้อนได้จากผลการเรียนตลอดระยะเวลาการศึกษา2. ความสอดคล้องต้องกันระหว่างวิชาที่น้องเรียน กับสาขาเฉพาะปริญญาโท เช่น น้องตั้งใจจะเข้าศึกษากฎหมายธุรกิจ แต่น้องขอให้อาจารย์สายกฎหมายอาญารับรอง // ส่วนตัวพี่ว่าน้องต้องตระหนักให้ดีตรงจุดนี้3.ตรวจสอบตารางทำงานของผู้สอน และพึงระลึกเสมอว่า "ร้องขอ" มิใช่ "สั่ง" ให้ออกหนังสือรับรอง4. เผื่อเวลาให้ผู้รับรองได้เขียนด้วย มิใช่ ขอวันพรุ่งนี้ แต่ประสงค์จะใช้วันรุ่งขึ้น - นี่อาจสะท้อน การวางแผนที่(ไม่)ดีของตัวน้องเอง5. กรุณาแต่งกายและใช้ภาษาพูดให้เกียรติอาจารย์ผู้รับรองด้วยนิดนึง เมื่อมาพบอาจารย์6. การติดต่อรบกวนอาจารย์ รบกวนติดต่อในช่วงกลางวันเพราะ หลังเลิกงานสมควรให้อาจารย์ผู้สอนได้พักผ่อน7.ถามอาจารย์ผู้สอนว่าท่านจะให้ผู้ร้องขอให้ท่านร่างหรือตัวน้องจะร่างเอง ... ส่วนตัวผมจะร่างเองนะครับ8.สอบถามมหาวิทยาลัยปลายทางว่าต้องการใหเหนังสือรับรองฉบับScan หรือต้องการให้ผู้รับรองส่ง Email ไปยังมหาวิทยาลัยโดยตรง9. ควรแจ้งผู้รับรองก่อนว่าประสงค์จะอ่านเนื้อหาก่อนลงนามหรือไม่ ... ส่วนตัวผมลงนามเลยนะครับไม่เขียนตามที่ผู้ร้องต้องการ เพราะผู้รับรองย่อมมีอิสระในการรับรองโดยเฉพาะ10.หากการออกหนังสือรับรองเป็นกระดาษต้องออกในนามคณะ กล่าวคือ หัวจดหมายควรต้องเป็นตรา/สัญลักษณ์ประจำคณะ มิใช่ กระดาษ A4 ทั่ว ๆ ไป ดังนั้น อาจต้องใช้เวลาในการออกจดหมายดังกล่าวเพราะอาจต้องผ่านความเห็นชอบจากผู้บังคับบัญชาท้ายนี้ขอบคุณนะโม ถ้าโมไม่ร้องขอ พี่คงไม่ได้เขียนเรื่องราวดี ๆ นี้แน่ ... ขอบคุณนะที่ยังคิดถึงกันและขอให้โชคดีกับความก้าวหน้าต่อ ๆ ไป ขอบคุณอีกครั้งที่เลือกโดยสารเรือลำนี้ ... ถึงฝั่งแล้วอย่าลืมบอกพี่นะพี่รออยู่ Have a good luck ... ฝากให้แก่น้อง (ว่าที่) ป.โททุกท่าน ... เหนื่อยหน่อยนะครับ รางวัลแห่งความสำเร็จรออยู่ปล.พี่แนบภาพความสำเร็จมาให้ดู มันเหนื่อยครับแต่คุ้ม (ภาพผู้เขียนเอง)อนึ่ง ผมขออนญาตโมเพื่อนำเรื่องการขอหนังสือรับรองมาเขียนบทความเรียบร้อยแล้วนะครับ และขอบคุณฟาที่เป็นธุระส่งหนังสือรับรองให้โมด้วยCr: ปก โดย Free-Photos จาก https://bit.ly/32QCTOxตามแนบ คือ ตัวอย่างหนังสือรับรองที่ผ่าน ท่านคณบดี รองคณบดี รวมถึง พี่ ๆ เจ้าหน้าที่ที่ช่วยผลักดันลูกศิษย์ของเราได้มีโอกาสไปร่ำเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา ขอบพระคุณแทนน้อง ๆ ด้วยนะครับ