(ต่อ)มาตรา 412 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ที่ว่าถ้าทรัพย์สินซึ่งได้รับไว้เป็นลาภมิควรได้นั้นเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ท่านว่าต้องคืนจำนวนนั้น เว้นแต่เมื่อบุคคลได้รับไว้โดยสุจริต จึงต้องคืนลาภมิควรได้เพียงส่วนที่ยังมีอยู่ในขณะเมื่อเรียกคืนเงิน 1. เงิน น่าจะถือเป็นทรัพย์สินชนิดพิเศษ ที่ผู้ได้ลาภเมื่อได้รับมานั้นย่อมต้องคืน โดยพิจารณามูลค่า หรือจำนวนเท่านั้น ไม่พัก ต้องไปตรวจสอบเลขบนธนบัตรเลย ทั้งนี้ได้รับการยืนยันตามมาตรา 412 ที่ว่า "ถ้าทรัพย์สินซึ่งได้รับไว้เป็นลาภมิควรได้นั้น เป็นเงินจำนวนหนึ่ง ท่านว่าต้องคืนจำนวนนั้น "สุจริต 2. หลักเกณฑ์เรื่อง “สุจริต” หรือไม่นั้น ผมเองไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาฎีกาที่มองว่า ผู้มีสิทธิในลาภต้องทวงถามก่อน เมื่อทวงแล้วจึงจะถือว่า ไม่สุจริต ด้วยความเห็นส่วนตัวนั้น ผมค่อนข้างมองว่า การที่คุณได้รับเงินโดยที่คุณเองไม่ได้ประกอบสัมมาชีพ ที่มีเงินเข้าออกทุกวัน (เช่น กระแสรายวัน) การที่อยู่ดี ๆ มีเงินโอนมาผิดบัญชี คุณก็สมควรจะรู้ได้แล้วโดยมิพักต้องถูกทวงถามก่อนเลย เพราะถ้าคุณอาจเฉลียวใจสักนิด ในฐานะวิญญูชนเองก็ควรมีหน้าที่ต้องตามสืบที่มาของเงิน และต้องไม่ใช้เงินดังกล่าว จนกว่าจะทราบว่าเงินนั้นเป็นของผู้ใดจริง ๆ แต่กฎหมายมิได้กำหนด/บังคับให้คุณต้องงดเว้นจากการใช้เงินตลอดไป ตามมาตรา 419 ที่บัญญัติว่า “ในเรื่องลาภมิควรได้นั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้น” ตามแนวคำพิพากษาฎีกาที่ 10669/2553 ที่มองว่า “โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากการที่พนักงานของโจทก์โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากจำเลยที่ 1 เป็นค่าตอบแทนจากการจำหน่ายสินค้า เกินกว่าที่จำเลยที่ 1 ควรจะได้รับ … ดังนั้น เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 มีการตรวจหนี้สินระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองครั้งสุดท้าย พบว่าโจทก์ส่งเงินมูลค่าสูงกว่าให้จำเลยทั้งสอง วันดังกล่าวจึงก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ ดังนั้น คดีจึงไม่ขาดอายุความ เมื่อโจทก์ฟ้องคดีวันที่ 6 ตุลาคม 2549 ยังไม่เกินหนึ่งปี (1 กุมภาพันธ์ 2549) นับแต่โจทก์รู้ว่าตนมีสิทธิเรียกเงินที่ส่งผิดพลาดคืน” เท่ากับว่าถ้าเกิน 1 ปี ผู้รับลาภก็จะได้ประโยชน์จากลาภดังกล่าว เพราะผู้สมควรได้ลาภละทิ้งไม่เห็นคุณค่าที่ลาภที่ตนควรจะได้1. อาจมีคนถามต่อว่าแล้วย่างนี้ใช้หลักกรรมสิทธิ์เรียกคืนได้หรือไม่ ผมแค่อยากตั้งข้อสังเกตว่า ลาภมิควรได้มันเป็นเรื่อง "บุคคลสิทธิ" ไม่ใช่ "ทรัพยสิทธิ" ถ้าจะเอาหลักทรัพยสิทธิมาใช้ในบุคคลสิทธิ ย่อมไม่ถูกนัก ประกอบหลักสันนิษฐานของกฎหมายที่ว่า "ผู้ใดครอบครองทรัพย์สินให้สันนิษฐานว่า สุจริต ยึดถือเพื่อตน และชอบด้วยกฎหมาย" ตามมาตรา 1369 และ 1370 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อนึ่ง ตามมาตรา 413 ซึ่งบัญญัติว่าเมื่อทรัพย์สินอันจะต้องคืนนั้นเป็นอย่างอื่นนอกจากจำนวนเงิน และบุคคลได้รับไว้โดยสุจริต ท่านว่าบุคคลเช่นนั้นจำต้องคืนทรัพย์สินเพียงตามสภาพที่เป็นอยู่ และมิต้องรับผิดชอบในการที่ทรัพย์นั้นสูญหายหรือบุบสลาย แต่ถ้าได้อะไรมาเป็นค่าสินไหมทดแทน เพื่อการสูญหายหรือบุบสลายเช่นนั้นก็ต้องให้ไปด้วย ถ้าบุคคลได้รับทรัพย์สินไว้โดยทุจริต ท่านว่าจะต้องรับผิดชอบในการสูญหายหรือบุบสลายนั้นเต็มภูมิ แม้กระทั่งการสูญหายหรือบุบสลายจะเกิดเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ทรัพย์สินนั้นก็คงต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเองทำให้ผู้อ่านอาจเข้าใจไปว่า ถ้าเป็นลาภมิควรได้ซึ่งเป็นเงินนั้น พึงใช้คืนเมื่อตนสุจริต แต่มาตราก่อนหน้า (412) ให้คืนเป็นจำนวน/มูลค่า หรือกล่าวง่าย ๆ คือ คืนเต็มจำนวน ส่วนตัวผมมองว่าการคืนลาภมิควรได้ซึ่งเป็นเงินนั้น มาตรานี้ ใช้คำว่า " _ นอกจากจำนวนเงิน" ดังนั้นจึงควรต้องแปลว่า ถ้าเป็นทรัพย์สินทั่ว ๆ ไป ให้คืนตามสภาพที่เป็นอยู่ เมื่อสุจริต แต่ถ้าเป็นเงินให้คำนึงถึงมูลค่า/จำนวนเงินเป็นหลัก แม้ตอนคืนผู้รับลาภจะสุจริตจนกระทั่งถึงเวลาคืนก็ตาม การที่ตนจะอ้างว่าใช้เงินไปบางส่วนแล้ว ก็ยังคงต้องคืนเต็มจำนวนอยู่ดี ยกตัวอย่าง ปีนี้ธนบัตรชนิด ก. มีผลใช้บังคับ แต่ภายหลังที่ผู้รับลาภมิควรได้รับ ปรากฏว่าธนบัตรชนิด ก. ถูกยกเลิกไป เท่ากับว่าผู้รับลาภมิควรได้ (ธนบัตรชนิดเก่าถูกยกเลิก ทำให้ไม่มีหน้าที่ต้องคืนเงิน?) จะได้ประโยชน์จากการเลิกใช้ธนบัตรชนิด ก. หรือ? ส่วนตัวผมมองว่า หน้าที่คืนเงินตรานั้น ควรต้องคืนตามมูลค่า มิใช่ ตามเลขบนธนบัตร มิฉะนั้น ยุ่งนะครับ เช่น ลาภมิควรได้เป็นเงินสกุลต่างประเทศ เท่ากับว่าต้องคืนสกุลเงินต่างประเทศ ในวันที่ได้รับลาภ มิใช่คืน ในวันที่คืนลาภ แล้วถ้ามีส่วนต่างเกิดในอัตราแลกเปลี่ยนขึ้น - ควรเป็นของใครครับ? ซับซ้อนไปอีกนะครับ คำถามต่อมา ผู้อ่านอาจจะถามว่า แล้วถ้าเป็นการคืนเงินในกรณีทุจริตหล่ะ ผลมันจะต่างกันไหม? ตอบเลยว่าต่างต่าง?เพราะ การทุจริต ก็เป็นสิ่งยืนยันอยู่ในตัวว่า แสวงประโยชน์จากทรัพย์สินของผู้อื่น โดยเฉพาะหนี้เงิน แค่เอาเงินไปฝากธนาคารก็ได้ดอกเบี้ยแล้ว ดังนั้น ตอนคืนก็สมควรคืนพร้อมดอกเบี้ยหรือไม่? แม้ผู้รับลาภจะมิใช่ธนาคารพาณิชย์ นี่จึงน่าจะเป็นจุดตัดระหว่างการคืนเงินโดยสุจริต ก็ให้คืนเต็มจำนวนโดยไม่คิดดอกเบี้ย และการคืนเงินโดยทุจริต ที่ต้องคืนทั้งจำนวนและคิดอกเบี้ย ท้ายนี้ส่วนตัวผมจึงมองว่าถ้ามันมีทรัพย์สินงอกเงยมาโดยหาสาเหตุไม่พบในฐานะคนดี ๆ ควรเอ๊ะ แล้วอย่าเพิ่งดีใจจนใช้หมด เพราะ คุณอาจได้ไม่คุ้มเสียนะ #เตือนแล้วนะ (ต่อ - ภาคจบ)***ห้ามนำไปอ้างอิง กราบ *** // ถ้าผู้อ่านเห็นควรให้ผมเพิ่มเติม หรืออยากโต้แย้งอะไรเชิญนะครับ - สังคมแห่งปัญญาต้องเถียงนะครับ แต่ขอเหตุผลประกอบนิดท้ายนี้ขอบพระคุณ 1. ภาพปก Malvestida Magazine / Unsplash2. ภาพที่ 1 pch.vector / freepik3. ภาพที่ 2 jcomp / freepik4. ภาพที่ 3 d3images / freepikเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !