เป็นหนังเกี่ยวกับครูคีทติ้งและลูกศิษย์ในโรงเรียนชายล้วน เด็กชายในวัยฮอร์โมนพลุ่งพล่าน ที่พร้อมจะอุทิศชีวิต เพื่อความต้องการและความฝัน และในกรอบของสังคมที่พ่อแม่ ตั้งความหวังไว้กับลูก ว่าเขาจะต้องเป็นในสิ่งที่พวกตนต้องการในหนังครูคีทติ้งผู้สอนกวีได้กล่าวไว้ว่า"เราไม่ได้อ่านและเขียนบทกวีเพราะมันน่ารัก เราอ่านและเขียนบทกวีเพราะเราเป็นมนุษย์ และมนุษย์เต็มไปด้วยความหลงใหล แต่บทกวี, ความงาม, ความรัก, คือสิ่งที่เรามีชีวิตอยู่เพื่อมัน" ครูคีทติ้งสอนให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง ให้มีความคิดเป็นของตัวเอง เพราะแม้แต่การเดิน แต่ละคนก็ยังมีจังหวะการเดินเป็นของตัวเอง ครูคีทติ้งเป็นประธานชมรมกวีไร้นามเมื่อสมัยเรียน เมื่อพวกนักเรียนรู้ จึงขอให้ครูคีทติ้งเล่าให้ฟัง ครูเล่าว่ามีถ้ำลับใกล้โรงเรียนที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มมักจะมาชุมนุม อ่านกลอน กันในนั้นนีลเป็นผู้เปิดประเด็นให้เพื่อนในกลุ่มเข้าร่วมชมรมกวีไร้นามในถ้ำที่ครูคีทติ้งเล่าให้ฟัง ในถ้ำนั้นทุกคนร่วมกันอ่านกลอน และทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ดูดไปป์ สูบบุหรี่ หรือ พาเพื่อนผญ เข้ามาฟังบทกลอนร่วมกัน มีฉากที่ครูคีทติ้งให้นักเรียนทุกคนฉีกหน้าคำนำและหลักการวิเคราะห์ในหนังสือว่า กวีบทที่อ่านนั้นดีหรือไม่ทิ้ง เพราะเขาคิดว่า บทกวีไม่ควรถูกตัดสินว่าดีหรือไม่ เพราะมันออกมาจากความรู้สึกของผู้แต่ง มันไม่ควรถูกตัดสินจากคนอื่นมีฉากที่ครูคีตติ้งให้เด็กนักเรียนแต่ละคนลองมายืนบนโต๊ะ และลองมองลงมาจากบนนั้น หากเรายืนในจุดที่ต่างกันจะทำให้เราเห็นในมุมอื่น ครูคีทติ้งกล่าวว่า"เพียงแค่เราคิดว่า เรารับรู้บางสิ่ง เราไม่ควรมองด้านเดียว เราควรลองมองจากอีกด้านหนึ่ง มันอาจจะดูโง่หรือผิด แต่มันเป็นสิ่งที่ควรลอง"ภาพจาก : imdb.com ในหนังมีตัวละครหนึ่งชื่อ ทอดด์ เขาเขียนใส่กระดาษว่า "Seize The Day" แปลได้ว่า ทำวันนี้ให้ดีที่สุดและเพราะวันนี้มีแค่ครั้งเดียว และชีวิตที่ไม่แน่นอนนี้ ทำให้เราไม่สามารถรู้ได้ว่า ชีวิตจะยังมีพรุ่งนี้ให้เราอีกไหม แต่ในมุมของทอดด์ ที่เขียนประโยคนี้ขึ้นมา อาจเขียนด้วยความอึดอัด อาจเพราะความคาดหวังของครอบครัว ทอดด์ที่มีพี่ชายศิษย์เก่าของโรงเรียนที่เรียนเก่ง ได้เกียรตินิยมทำให้เขาต้องอยู่ในกรอบ ในเกณฑ์ ที่พ่อแม่หวังเอาไว้เหมือนพี่ชายภาพจาก : imdb.com ตัวละครหลักในเรื่อง นีล เป็นเด็กชายที่มีความฝันว่าอยากเป็นนักแสดง เขาหลงใหลในการแสดง แต่พ่ออยากให้เขาเป็นหมอ เพราะครอบครัวเขาไม่ได้มีฐานะดี เขาจึงเป็นความหวังของครอบครัว เขาสมัครเล่นละครครั้งแรกพ่อไม่อนุญาต และนีล จึงไปขอคำปรึกษา จากครูคีทติ้ง เขาว่าการแสดงคือชีวิตของเขา ครูคีทติ้งให้นีลไปพูดกับพ่อแบบที่นีลพูดกับเขา สุดท้ายพ่ออนุญาต ในวันที่นีลแสดง พ่อเขาดูจนจบการแสดง สุดท้ายเมื่อการแสดงจบ พ่อลากนีลขึ้นรถ เหมือนว่าจะไม่ให้นีล กลับมาเล่นละครอีกตลอดไป นีลยอมกลับบ้านแต่โดยดี พ่อให้เขาย้ายโรงเรียน พ่อว่าครูคีทติ้งเสี้ยมสอนเขา เขาอัดอั้นตันใจ และท้ายที่สุด เขาแอบหยิบปืนของพ่อมายิงตนเอง เมื่อพ่อได้ยินเสียง จึงรีบมาดู และพบร่างไร้วิญญาณของลูกชาย เมื่อคิดได้ตอนนั้น ก็สายเสียแล้ว ความผิดพลาดของเหตุการณ์คือการที่ทุกคนไม่เข้าใจกัน ในคำว่าครอบครัว ล้วนตั้งความหวังกับเด็กที่เกิดมา หากเพียงยอมให้เขาเป็นตัวของตัวเอง อาจไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ภาพจาก : imdb.com วันถัดมาครูใหญ่เรียกนักเรียนมาสอบสวนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เด็กคนหนึ่งให้เพื่อนทุกคนบอกครูใหญ่ว่าทั้งหมดคือความผิดครูคีทติ้ง ว่ายุยงให้นีลแสดงละคร และขัดคำสั่งของพ่อ เพราะทุกคนอาจถูกไล่ออก และทุกคนก็ทำเพื่อรักษาสภาพนักเรียนของตนเอง วันต่อมาในขณะที่ทุกคนนั่งเรียนอยู่ ครูคีทติ้ง เข้ามาเก็บของขณะที่ครูใหญ่สอนกวีแทนครูคีทติ้ง ทอดด์กล่าวขึ้นว่า เพื่อนสั่งให้ตนและคนอื่น ๆ ทำ พวกเขาจำเป็น ครูคีทติ้ง ว่า ไม่เป็นไร และนักเรียนแทบทุกคน ก็ขึ้นยืนบนโต๊ะเรียน เป็นสิ่งสุดท้ายที่สรรเสริญครูคีทติ้งแทนคำกล่าวขอบคุณภาพจาก : imdb.com หนังเน้นให้เห็นความสำคัญของวันเวลา ยิ่งเยาว์วัย ยิ่งควรฉกฉวยวันเวลาเอาไว้ ทำในสิ่งที่ตนต้องการ และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะวันเวลา ไม่อาจหวนกลับ หากเมื่อเรามองย้อนกลับมาจากอนาคต ความคิดที่ว่า เสียดายนั้น จะไม่เกิดขึ้น