อื่นๆ

รถไฟยามราตรี...

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
รถไฟยามราตรี...

ระฆังทองเหลืองที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเช่นเดิมทุกวัน กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง... เสียงระฆังที่ดังขึ้นจากมือของชายชราในชุดเต็มยศท่านหนึ่ง กำลังบอกเป็นนัยๆว่า"รถไฟกำลังจะออกจากชานชาลาแล้ว" ท้องฟ้าที่แสงสว่างค่อยๆจางลง อากาศเย็นชื้นจากสายฝนที่กำลังโปรยปราย นกตัวน้อยค่อยๆบินตามจ่าฝูงกลับรัง ส่วนตัวฉันก็ต้องกลับกรุงเทพฯเพื่อไปทำงานต่อเช่นเดิมแต่เพิ่มเติม​คือจิตใจอันห่อเหี่ยว เพราะวันนี้ฉันมีสอบแข่งขันข้าราชการในจังหวัดบ้านเกิดตัวเองแต่ข้อสอบกลับไม่เป็นไปตามที่หวัง ความหวังที่จะย้ายกลับไปทำงานใกล้บ้านก็ดูเหมือนจะริบหรี่ ฉันนั่งอยู่บนรถไฟด้วยใจที่ไร้จุดหมายจนกระทั่งได้ยินเสียงชายชราท่านเดิมสะบัดธง เพียงครู่เดียวเครื่องจักรขนาดยักษ์ที่บรรทุกคนนับร้อยก็เริ่มขยับตัว เวลาผ่านไปเนิ่นนานภาพของสองข้างทางที่วิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็วก็ค่อยๆมืดลงเหมือนกับตาทั้งสองข้างของฉันที่มันล้าจนข่มไว้ไม่ไหว ทิวทัศน์ข้างทางผ่านหน้าต่างรถไฟ

Advertisement

Advertisement

รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เจ้าหน้าที่รถไฟมาสะกิดขอดูตั๋ว พอยื่นตั๋วให้เจ้าหน้าที่ไปฉันก็เพิ่งรู้ว่ามีผู้หญิงแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกันใส่เสื้อคอกระเช้าลายดอกสีแดงหม่นๆ ผ้าถุงยาวถึงข้อเท้านั่งหลังคร่อมมองพื้นรถไฟอยู่ จู่ๆแกก็พูดขึ้นมาเหมือนรู้ว่าฉันกำลังแอบมอง "จะไปไหนหรอลูก" พร้อมเงยหน้ามองฉัน หน้าตาของผู้หญิงคนนั้นเหี่ยวย่น​ตามวัยแต่สายตาและรอยยิ้มที่มุมปากทำให้ดูไม่ยากเลยว่าแกเป็นคนใจดี "กลับกรุงเทพฯไปทำงานต่อค่ะ"ฉันตอบ "แล้วทำไมไม่ทำงานใกล้บ้านล่ะจะได้อยู่กับแม่ด้วย" คุณยายถามด้วยสายตาที่ดูเศร้า "เงินมันน้อยค่ะ" ฉันตอบสั้นๆ "ตัวยายเองก็อยากอยู่ใกล้ๆลูกเหมือนกัน แต่คงไม่มีวันนั้นแล้วล่ะ" คุณยายเสียงสั่นเครือฉันจึงเปลี่ยนเรื่องคุย​ ถามตอบกันไปมาอย่างไม่มีใครยอมใคร.... จนคุณยายพูดขึ้นมาว่า "ถึงกรุงเทพแล้ว ไปกันดีกว่าลูก" (นี่เราคุยกับคุณยายเพลินจนไม่ได้สังเกตเลยไง๊วะว่ารถจอดแล้ว)​ คุณยายเดินนำลงไปยืนรอข้างล่างและกวักมือเรียก ฉันเดินตามไปจนถึงหน้าประตูและกำลังจะก้าวขาลง เท้าไม่ทันเหยียบพื้นเสียงหวู่ดรถไฟก็ดังขึ้นทั่วบริเวณพร้อมกับมือชายชราคนหนึ่งดึงแขนฉันอย่างแรงจนฉันสะดุ้งตื่นสุดตัว เฮ้ยยยยย!! อะไรวะ​เนี่ย​ หัวของฉันตอนนี้โผล่ออกมานอนตัวรถ​ ส่วนผมก็ปลิวไปตาม​ความเร็วของรถไฟจนพันกันยุ่งเหยิง​ สายตาจับจ้องไปที่หญิงแก่คนเดิมแต่รอยยิ้มที่แสนใจดีได้กลับกลายเป็นเพียงหน้าตาที่เรียบเฉยเศร้าหงอยอย่างบอกไม่ถูก​ แต่แปลกขณะที่รถไฟวิ่งอยู่ฉันกลับเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่ที่เดิมของสายตาฉันตลอด​

Advertisement

Advertisement

จนกระทั่งเสียงชายที่ดึงแขนฉันอยู่ก็ตะโกนขึ้นมา"อิหนู​ ดึงแขนกูขึ้นมาสิ่" ฉันจึงได้ละสายตาจากคุณยายแล้วใช้แขนคุณตาดึงตัวเองขึ้นมานั่งกองที่พื้นด้วยความงุนงง​ คุณตา​เหมือนอ่านความคิดคนได้พูดขึ้น​ว่า"มันอยากได้มึงไปอยู่ด้วย" ฉันหันกลับไปก็ไม่เห็นคุณยายแล้ว แต่คุณตาก็พูดต่อ"มันรอลูกของมัน​อยู่ทุกวันแต่ลูกมันก็ไม่ยอมมาอยู่ด้วย อยู่ๆมึงก็คุยกับมันได้มันเลยคิดว่ามึงเป็นลูก​ กลับไปหาพ่อหาแม่มึงบ้างนะอย่าปล่อยให้ท่านต้องรอมึงนานเหมือนอิแก่นั่นกับ​.....กูที่รอลูกกกก​ "เสียงส่งท้ายดูช้าลงมาก​ "ค่ะ" ฉันตอบ จู่ๆคุณตาก็ลุกขึ้นยืนพรวดดดแล้วกระโดดลงจากท้ายขบวนไป​พร้อมกับคำว่า "ขอบใจ" ฉันร้องกรี๊ดดดดดดดดกรี๊ดดดดดดกรี๊ดดดดดจนเจ้าหน้าที่เก็บตั๋วเดินมาตามเสียงแล้วตะโกนตัดเสียงกรี๊ดฉันว่า"น้องๆๆ​มานั่งร้องอะไรอยู่ตรงนี้มันอันตรายนะ พี่ว่าเข้าไปในขบวนดีกว่า​"พี่... ช่วยด้วยๆๆคุณตากระโดดลงไปช่วยด้วยๆๆๆหนูสงสารแก" ฉันร้องเสียงหลงจนแทบจับใจความไม่ได้​ ​"ไม่เป็นไรนะน้อง​ ลุกขึ้นก่อน​ น้องไม่เป็นไรแล้ว" เจ้าหน้าที่พูดพรางดึงฉันลุกขึ้นจากพื้นและพูดต่อว่า​ "แต่ถ้าน้องสงสารสองตายายนั้นมาก​ น้องก็ไปอยู่เป็นเพื่อนเขาแทนพี่ทีนะ​ เขาสองคนรอพี่มานานเกินไปแล้ว​" หลักจากจบประโยคเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ผลักฉันลงไปหาตากับยายที่ยืนรออยู่ด้านล่างและยืนหัวเราะอย่างเลือดเย็น หึหึหึ จนเสียงเข้าไปก้องอยู่ในโสตประสาท อร๊าย!! ฉัน​สะดุ้งตื่นอีกครั้งบนรถไฟกับหัวใจที่ยังคงเต้นแรง​ น้ำตาที่ไหลอาบไปทั่วแก้มและเสียงหอบถี่ตามจังหวะความกลัว​ (สรุปตอนนี้ฉันอยู่ในโลกความจริง​แล้ว หรือว่ายังติดอยู่ในความฝัน?? ...)

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์