"วัดใหญ่" เป็นชื่อที่ชาวพิษณุโลกทั่วไปใช้เรียกขาน วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่านวัดพระศรีรัตมหาธาตุนับว่าเป็นวัดที่มีการก่อสร้างมานานมากแล้ว ในพงศาวดารเหนือได้กล่าวถึงการสร้างเมืองพิษณุโลก โดยพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก เจ้าเมืองเชียงแสนได้รับสั่งให้จ่านกร้องและจ่าการบุญ มาสร้างเมืองในพื้นที่ฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตกของแม่น้ำน่าน โดยมีเขตอรัญวาสีที่เขาสมอแครง เมื่อจ่าทั้งสองถวายเมืองที่สร้างเสร็จแก่พระองค์ ซึ่งเสด็จมาถึงเมืองยามพิศณุ (ดิถีขึ้น/แรม 11 ค่ำ ซึ่งเป็นวันที่ศาสนาพรามหณ์-ฮินดูระบุว่าเป็น "วันแห่งพระวิษณุ" ตามความเห็นของผู้เขียน) จึงตั้งชื่อเมืองว่า “พิษณุโลก” และโปรดให้สร้างพระธาตุและพระวิหารใหญ่ทั้งสี่ทิศหลังพญาลิไทยึดเมืองสุโขทัยที่เกิดความวุ่นวาย และทรงปราบดาภิเษกเป็นพระกัมรเดงอัญศรีสุริยพงศ์รามมหาธรรมราชาธิราชเมื่อ พ.ศ. 1890 แล้ว ต่อมาระหว่าง พ.ศ.1905-1911 ได้ยกพลมาปราบเมืองฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน ไปจนถึงแม่น้ำป่าสัก และเสด็จมาตั้งมั่นที่เมืองสองแคว ที่ตั้งเดิมของเมืองสองแคว สันนิษฐานว่าอยู่บริเวณวัดจุฬามณี ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดเล็ก พญาลิไทจึงได้สร้างให้เมืองสองแควเป็นเมืองใหญ่ และมีวัดพระศรีรัตนมหาธาตุเป็นศูนย์กลางเมืองแห่งใหม่ พร้อมทั้งทำมหาทานสร้างพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ ซึ่งมีพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดารวมอยู่ด้วยแผนผังโครงสร้างของวัดใหญ่ จะให้ความสำคัญกับองค์พระปรางค์ประธาน มีกำแพงแก้วล้อมรอบ มีอาคารเป็นองค์ประกอบ 2 แกน คือ แกนหลักหรือแกนทิศตะวันออก-ตก และแกนรองหรือแกนทิศเหนือ-ใต้แกนแนวทิศตะวันออก-ตกนั้น ด้านทิศตะวันออกขององค์ปรางค์ประธานเป็นวิหารพระอัฎฐารส แต่ปัจจุบันเหลือร่องรอยเพียงพระอัฎฐารส และเสาศิลาแลงบนเนินดินซึ่งทอดยาวไปทางทิศตะวันออก ทั้งนี้จากร่องรอยที่นักโบราณคดีขุดค้น ทำให้เชื่อได้ว่าวิหารพระอัฎฐารสเดิม จะเชื่อมเข้ากับระเบียงคดรอบองค์ปรางค์ประธาน ด้านทิศตะวันตกขององค์ปรางค์ประธาน เป็นวิหารพระพุทธชินราช ทอดตัวตามแนวแกนโดยหันหน้าเข้าสู่แม่น้ำน่าน ด้วยภูมิปัญญาการออกแบบสถาปัตยกรรม ทำให้มีทิศทางของแสงที่ส่องเข้ามาภายในวิหาร ประกอบกับฉากหลังที่มืดจะทำให้ผู้มองเห็น เกิดความรู้สึกยำเกรงในความยิ่งใหญ่ขององค์พระในแนวแกนทิศเหนือ-ใต้ซึ่งเป็นแกนรองนั้น ประกอบไปด้วยวิหารพระพุทธชินสีห์อยู่ถัดจากองค์พระปรางค์ประธานทางทิศเหนือ ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ทรงเห็นว่าวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธชินสีห์ทรุดโทรมเป็นอันมาก จึงโปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐานที่มุขหลังของพระอุโบสถจตุรมุข วัดบวรนิเวศวิหารเมื่อพ.ศ.2374ขณะที่ทางทิศใต้องค์พระปรางค์ประธาน มีวิหารพระศรีศาสดา และตั้งแต่ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง ที่มีการอัญเชิญพระศรีศาสดาออกจากพิษณุโลก ไปประดิษฐานยังวัดต่าง ๆ หลายแห่งได้แก่ ที่วัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี โดยเจ้าอาวาสวัด, ที่วัดประดู่ฉิมพลี คลองบางหลวง โดยสมเด็จพระเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ, ที่วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร และสุดท้ายที่วัดบวรนิเวศวิหาร ในสมัยรัชกาลที่ 4 เนื่องจากทรงเห็นว่าพระศรีศาสดาและพระพุทธชินสีห์เคยประดิษฐาน ณ วัดเดียวกันมาก่อนที่พิษณุโลก จึงสมควรอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมนักโบราณคดีเชื่อว่าแนวคิดในการสร้างวิหารสี่ทิศนั้น น่าจะมีแรงบันดาลใจมาจากเทวสถานของขอม คือ นิยมสร้างระเบียงคดล้อมปรางค์ปราสาท แล้วทำซุ้มโคปุระที่เป็นทางเข้าไว้ ณ จุดกึ่งกลางทั้งสี่ทิศ ซึ่งช่างไทยดัดแปลงโคปุระให้เป็นวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปแทน โดยมีความหมายเชิงสัญญลักษณ์ คือ ศาสนสถานแห่งนี้เป็นดังจุดศูนย์กลางแห่งพุทธภูมิ เพื่อรับพุทธศาสนิกชนที่จาริกจากทั้งสี่ทิศภาพถ่ายดาวเทียมโดย google earthภาพประกอบอื่นโดยผู้เขียน