เริ่มต้นที่คำว่า "พนักงานออฟฟิศ" มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าการเป็นพนักงานออฟฟิศ หรือ มนุษย์เงินเดือน นั้นเป็นสิ่งที่มั่นคง และเป็นอาชีพที่ตายตัวที่สุดแล้ว เพราะเป็นงานประจำที่ ยังไงๆ เราก็ได้รับเงินทุกเดือน ไม่ว่าเราจะลาป่วย ลากิจ หรือลาพักร้อน เราก็ยังคงได้รับเงินเต็มเดือนอยู่ดี เป็นสิ่งที่ใครหลายๆคนนั้นคาดฝันว่า ต้องหางาน ต้องสมัครงาน และต้องทำงานประจำให้ได้ เพื่อรายได้ที่มั่นคง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป เราได้พบกับวิกฤตการณ์ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในโลกนี้ เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีใหม่ๆ รวมไปถึงโลกออนไลน์ที่กำลังมาแรง จนทำให้หลายๆบริษัทต้องมองหานโยบายใหม่ๆ เพื่อที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดได้ ซึ่งแน่นอนว่า นโยบายดังกล่าวนั้น คงหนีไม่พ้นเรื่องของการ "เลิกจ้างพนักงาน" มีสาเหตุอะไรบ้างนั้น เราลองมาเช็คกัน ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ในสภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำเช่นนี้ หลายๆบริษัทคงต้องมองหาวิธีที่จะทำให้ภาระค่าใช้จ่ายลดลงให้มากที่สุด เช่น ลด Benefit ต่างๆ รถรับ-ส่ง พนักงาน กาแฟ โอวัลติน ผลไม้ ที่เคยกินก็อาจจะไม่มีอีกต่อไป รวมไปถึงการขอลดอัตราจ้าง ที่สำคัญไปกว่านั้น คือการ "ลดจำนวนพนักงาน" หรือ "Termination of Employment" เป็นนโยบายที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนต้องหวาดผวาทุกวันที่เข้าออฟฟิศ ว่าเมื่อไรจะโดนเรียกเข้าห้องเย็น ซึ่งนโยบายการเชิญพนักงานออก กำลังเป็นที่นิยมมากในหลายอุตสาหกรรม อันเนื่องมากจากยอดขายที่ลดลง ราคาสินค้าตกต่ำ และเมื่อการผลิตเริ่มน้อยลง การจ้างพนักงานก็ต้องน้อยตามเช่นกัน ความอึดอัดต่อมาคือ พนักงานที่ยังคงทำงานอยู่นั้น จะต้องเพิ่มภาระหน้าที่ต่อจากเพื่อนที่ออกไป โดยไม่สามารถขอเงินเดือนเพิ่มได้เลย เงินเดือนเยอะ แต่ว่างงาน แน่นอนว่า ฐานเงินเดือนของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับอายุงาน ตำแหน่ง และผลงานของแต่ละบุคคล ต่อให้เราทำงานมาเป็น 10-20-30 ปี ก็ไม่ได้ช่วยให้เราสามารถยืนหนึ่งอยู่ในบริษัทได้ บริษัทจึงจำเป็นต้องมองหาจุดที่มีความจำเป็นน้อยที่สุด หรือมองหาสิ่งอื่นที่เข้ามาทดแทนกันได้และประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า เช่น บางบริษัทเลือกที่เลิกจ้างพนักงานที่มีอายุงานมากๆ และหันมาเลือกใช้งานพนักงานที่มีอายุงานน้อยกว่า เงินเดือนน้อยกว่า แต่มีไฟในการทำงาน มีความกระตือรือร้น และอาจจะยังไม่มีภาระทางครอบครัว ซึ่งนโยบายนี้มักใช้ได้ผลกับหลายๆอุตสาหกรรม เพราะการที่คนเรานั้นทำงานอยู่ในองค์กรเป็นเวลานานๆ เรามักจะคิดไปเองว่า เราเป็นผู้มีประสบการณ์มากกว่าเด็กที่เข้างานใหม่ จนทำให้ผู้ประกอบการ หรือหัวหน้างานมองเห็นพฤติกรรมบางอย่างในตัวเรา และเป็นไปได้ว่า เมื่อเจอสถานการณ์ที่ต้องเลือกคนออก เราอาจเป็นหนึ่งในนั้น การจ้างงานแบบ Sub-Contractor พนักงาน คือทรัพยากรทางบุคคลของบริษัทที่มีค่ามากที่สุด ที่จะต้องมีสวัสดิการต่างๆมากมาย เช่น ยูนิฟอร์ม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ค่าเดินทาง ค่าทำฟัน ค่าเบี้ยเลี้ยงเมื่อออกต่างจังหวัด การตรวจสุขภาพและค่ารักษาพยาบาล รวมไปถึงประกันกลุ่มที่นอกเหนือจากประกันสังคมตามกฏหมายแรงงานด้วย สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทเช่นกัน เมื่อผู้บริหารเริ่มมีนโยบายใหม่ในการลดค่าใช้จ่าย การจ้างแบบ "Sub-Contractor" ก็เป็นทางออกที่น่าสนใจไม่น้อย อีกทั้งเมื่อมีการเลิกจ้าง หรือต้องการหยุดใช้บริการ หรือเมื่อจบโครงการแล้ว บริษัทก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าชดเชยใดๆให้กับ Sub-Contractor (พนักงานไม่ประจำ) เพราะบริษัทต้นสังกัดจะต้องเป็นผู้ดูแลต่อไป อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เรายังคงเป็นพนักงานของบริษัท เมื่อเรายังคงได้รับความไว้วางใจจากผู้บริหารหรือหัวหน้า สิ่งที่เราควรทำคือ การพัฒนาตัวเอง เราอาจจะรู้สึกแย่เวลาที่เจ้านายเพิ่มงานให้เราทำ ทั้งๆที่ไม่ตรงกับตำแหน่งของเรา แต่ในช่วงที่วิกฤตและเศรษฐกิจยังคงดำดิ่งลงสู่ทะเลแบบนี้ เราก็ไม่ควรปฏิเสธตั้งแต่คำแรก เราควรที่จะรับโอกาสนั้นไว้ หากคิดในแง่ดี เราก็จะได้เพิ่มทักษะ เพิ่มศักยภาพและความรู้ใหม่ๆ ในลักษณะงานอื่นๆ อีกด้วยเสริมกันอีกนิด ก่อนจบ!โลกออนไลน์ กำลังเป็นที่นิยมและมาแรงมากๆในตอนนี้ ไม่ว่าใครๆ ก็มีแอปพลิเคชันช้อบปิ้งออนไลน์อยู่ในมือถือทั้งนั้น หากสายออฟฟิศคนไหน มีรายได้เสริมทำด้วย อาจเป็นเรื่องที่ดีในตอนนี้ เพราะบางบริษัท มีการขอลดอัตราจ้างของพนักงาน แต่ยังไม่เชิญออกเลยซะทีเดียว ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะยังคงเก็บจำนวนพนักงานไว้ เผื่ออนาคตบริษัทอาจได้งานเพิ่ม ในส่วนของรายได้เสริมนี้ อาจจะช่วยพยุงค่าใช้จ่ายของเราในอนาคตได้ และถ้าวันใดวันหนึ่ง มันเกิดแจ็คพ๊อตขึ้นกับเรา อย่างน้อยๆ ก็ยังมีงานรองรับต่อไป ขอบคุณรูปภาพจาก https://pxhere.com/en/random หน้าปก / ภาพที่ 1 / ภาพที่ 2 / ภาพที่ 3 / ภาพที่ 4 / ภาพที่ 5