เป็นที่ทราบดีว่า ภาษาอังกฤษ เปรียบเสมือนยาขม (Cr: by libellule789 fromhttps://bit.ly/37V1bbl)ของใครหลาย ๆ คน บางท่านเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ (Cr: by freepik from https://bit.ly/37X6TcW)พร้อม หรือ ก่อนภาษาไทยด้วยซ้ำ แต่อาจมีข้อสงสัยว่า ทำไม ถึงใช้ติดต่อสื่อสารไม่ได้? หากกล่าวโดยสรุป “ภาษาอังกฤษ” มี 4 ทักษะอย่างที่ท่าน ๆ ทราบคือ ฟัง-พูด-อ่าน-เขียน (Cr: by freepik from https://bit.ly/2sY96pJ)แต่เด็กไทยมักคุ้นเคยกับทักษะการอ่าน มากที่สุด เพราะถูกสอนให้ตั้งใจเรียน ไวยกรณ์ คำศัพท์ ท่องกันเป็นนกแก้วนกขุนทอง แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง เราสามารถแบ่งทักษะทางภาษาออกเป็น 2 ทักษะ คือ การนำเข้า (input) การส่งออก (output) ตรงตัวคือ การฟังและการอ่าน (Cr: by fen from https://bit.ly/2QIgpKX)ถือเป็นทักษะนำเข้า ส่วนการเขียนและการพูด ถือเป็นทักษะนำออก หรือกล่าวอย่างง่าย คือ ทักษะการนำเข้าเปรียบเสมือนวัตถุดิบ ทักษะการนำออก คือ ผลลัพธ์รวมถึงผลพลอยได้ บางท่านอาจจะมองว่า ผลลัพธ์จะดีได้ ต้องเกิดจากวัตถุดิบที่ดี ยกตัวอย่าง หากต้องการจะเขียนดี ต้องอ่านเยอะ หรือ ต้องการจะพูดดีต้องฟังเยอะ จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียน ทักษะนำออกนั้นถือเป็นสิ่งที่ท้าทายมากที่สุดเพราะจะชำนาญได้ต้องได้รับการฝึกอย่างหนักหน่วงและระยะเวลานาน/มากพอสมควร เราจะสังเกตง่าย ๆ คือ ครอบครัวใดที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารเป็นหลัก มักได้เปรียบกับครอบครัวที่ใช้แต่ภาษาไทย ดังนั้น ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ต่างแดน ก็สามารถเก่งและชำนาญการใช้ภาษาอังกฤษ หากมีโอกาสได้ใช้เกือบทุกวัน ยกตัวอย่าง คนที่ผู้เขียนรู้จัก/สนิทด้วย รวมถึงตัวข้าพเจ้า กล้าพูดว่า “มีความเชี่ยวชาญ”มากพอก่อนจะไปศึกษาต่อต่างประเทศ มิได้เก่งเมื่อเท้าแหยียบพื้นแผ่นดินตะวันตกอย่างที่ใครหลาย ๆ คนนึก/คาดหมายไว้ นี่อาจจะเป็นเพราะตัวผู้เขียนเองชอบภาษาอังกฤษเป็นทุนเดิมประกอบกับสิ่งแวดล้อมค่อนข้างเอื้ออำนวยให้ผู้เขียนได้ฝึกใช้ภาษาอย่างคล่องแคล่ว เช่น ครอบครัวผู้เขียนค่อนข้างสนับสนุนการฝึกใช้ภาษาอย่างมีประสิทธิภาพ กรณีตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด คือ มารดาผู้เขียนจ้างคุณครูต่างชาติมาสอนภาษาอังกฤษที่บ้าน ซึ่งปัจจุบันนางพูดภาษาไทยชัดแล้ว แต่ผู้เขียนก็ยังยืนยันว่าจะพูดภาษาอังกฤษกับนาง เพราะรู้สึกตะขิดตะขวงใจเมื่อพูดไทย เนื่องด้วยครั้งแรก ๆ เราใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกัน จะให้ใช้ภาษาไทยได้เยี่ยงไร โดยส่วนตัว ผู้เขียนมองว่า “ภาษาไทย” เป็น Comfort Zone ที่หากใครก้าวข้ามได้ชัยชนะอย่างที่ต้องการเป็นแน่ (Cr: by Pexels from https://bit.ly/37Tjqho)แต่ในบริบทแวดล้อมที่ผู้อ่านอาจเคยชินกับภาษาไทย อาทิ ซื้อ-สั่งอาหาร ติดต่อราชการ ก็ใช้ภาษาไทย แล้วเมื่อไหร่ จะมีโอกาสใช้ภาษาอังกฤษ?เราจะทำอย่างไรกันดี เพื่อฝึกาษภาอังกฤษ ในสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย จริง ๆ มีนะครับ ยกตัวอย่าง การติดต่อ Call center ที่ท่านคุ้นเคยซึ่งจะมีเสียงอัตโนมัติให้ผู้รับบริการเลือกใช้ว่าจะติดต่อเป็นภาษาอะไร? ส่วนตัวผู้เขียนไม่ลังเลใจที่จะใช้ภาษาอังกฤษ ใช่ครับ (ดูปากนิชานะคะ) “ภาษาอังกฤษ” จริงอยู่ที่ผู้อ่านบางคนเถียงว่า ก็ผู้เขียนเก่งภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ใช่ครับคุณพูดถูก แต่ส่วนตัวผมมองว่าการพูดภาษาอังกฤษกับคนไทยมันยากสุดเพราะผู้อ่านต้องก้าวข้าม Comfort Zone (ภาษาไทย) - ต้องไม่ใช้ภาษาไทย แม้ผู้พูด-ผู้ฟังจะใช้ภาษาไทยได้ก็ตาม แต่ก็ห้ามพูดไทย จนกระทั่ง Call center ย้ำว่าQ :"Which language do u prefer?"A: I’d rather speak English than Thai.นางเลยถามว่าQ:Why?(ผม) A: It sounds strange because I always think in English and then speak Thai even if my nationality is Thai. I’m so sorry if you would like me to talk to you in Thai.แล้วที่สุด นางแจ้งผมว่าA: I wanna ask you to speak Thai instead of English because your terms you had used were too academic and, perhaps, more complicated.ท้ายที่สุดผมก็จำต้องกลับมาพูดไทยกับนาง เพราะระดับภาษาอังกฤษ(ของผม)วิชาการ (เกิน) ไปเหล่านี้ ย่อมเป็นสิ่งย้ำเตือนผมว่า สำเนียงของการพูดภาษาอังกฤษให้คล่อง อาจเป็นเรื่องรอง แต่พูด (ภาษาอังกฤษ) ให้เข้าใจนี่สิน่าจะเป็นเรื่องหลัก เพราะน่าจะถือเป็นการบรรลุเป้าหมายของการใช้ภาษาอังกฤษแล้ว#ฝากไว้ให้คิด จงถามตัวเอง(ในใจ)ว่า เราฝึกทักษะการนำเข้าเพียงพอแล้วหรือไม่ ถ้าเพียงพอแล้ว คุณจะไม่สนใจพัฒนาทักษะการนำออกบ้างหรือ? อย่างน้อยหากไม่สนใจพูดให้ call center ฟัง จงพูดเอง อัดเอง ฟังเอง นักเลงพอเนาะอนึ่ง ขอบพระคุณภาพปก โดย Freepik จาก https://bit.ly/379zyePรับเทคนิคง่าย ๆ ของผมไว้พิจารณาด้วยนะครับ กราบ!