เมื่อได้ยินชื่อจังหวัดพิจิตรคนส่วนมากมักจะนึกถึงตำนานชาละวันนึกถึงจระเข้ตัวใหญ่ที่ต่อสู้กับไกรทองแต่จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าในจังหวัดพิจิตรนี้ ได้มีตำนานอริยสงฆ์เทพเจ้าแห่งโพทะเลถือกำเนิดขึ้นณวัดบางคลาน อำเภอโพทะเลจังหวัดพิจิตร เทพเจ้าแห่งโพทะเล รูปนี้มีนามว่าหลวงพ่อเงินแห่งวัดบางคลาน ตามประวัติที่ชาวบ้านเล่าต่อกันมาหลวงพ่อเงินเกิดวันศุกร์เดือน 10 ปีฉลูตรงกับวันที่ 16 กันยายนพศ 2352 โยมบิดาของท่านชื่อ อู๋ โยมมารดาชื่อ ฟักมีพี่น้องรวมกันทั้งสิ้น 6 คนท่านเป็นคนพิจิตรโดยกำเนิด เมืองหลวงพ่อเงินเจริญเติบโตขึ้นอายุประมาณ 3 ขวบเศษเท่านั้นก็ได้มีนายช่วงผู้เป็นลุงนำเข้ามาเลี้ยงดูและได้ส่งให้หลวงพ่อเงินเรียนต่อที่วัดตองปุหรือวัดชนะสงครามในกรุงเทพฯ นี่เองเมื่ออายุได้ 12 ปีในช่วงจึงได้ทรงหลวงพ่อเงินให้บรรพชาเป็นสามเณร ขณะที่ร่ำเรียนวิชาต่างๆอยู่นั้นหลวงพ่อเงินก็ได้แสดงความสามารถที่เหนือกว่าเด็กในวัยเดียวกันโดยสามารถเรียนคาถาอาคมและธรรมวินัย ได้สูงกว่าเด็กคนอื่นๆ แต่ว่าเมื่อถึงเวลาหลวงพ่อเงินใกล้จะอุปสมบทท่านก็ได้ตัดสินใจสึกออกมาอยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้ ด้านความรักเมื่อครองตนเป็นฆราวาสก็มีบ้างตามประสาหนุ่มวัยรุ่นทั่วไปแต่ด้วยจิตที่ถูกปรุงแต่งและฝึกมาอย่างดีตอนบวชเณรแล้วทำให้ท่านแยกแยะ ได้ แล้วเมื่อได้ยินพี่สะใภ้กล่าวว่า"ชาตินี้หากได้บวชเป็นดีที่สุด อย่าแต่งงานเลยจะประเสริฐกว่ามาก"ยิ่งทำให้ท่านเกิดแรงบันดาลใจที่จะเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ได้ละทางโลกในทันที เมื่อท่านได้อุปสมบทท่านก็ได้ฉายาว่า"พุทธโชติ" ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดตองปุหรือวัดชนะสงครามแค่เพียง 3 พรรษาเท่านั้นเพราะท่านใดทราบจากพี่ชายว่าโยมปู่ของท่านล้มป่วยลงมีอาการที่น่าเป็นห่วง ท่านจึงตัดสินใจเดินทางกลับมาที่จังหวัดพิจิตรจังหวัดของท่านและท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดคงคารามโดยมีเจ้าอาวาสชื่อหลวงพ่อโห้อยู่ในขณะนั้น หลวงพ่อโห้นั้นเป็นพระที่ชอบเล่นแร่แปรธาตุคือนำส่วนผสมของตะกั่วดีบุกผสมกันให้กลายเป็นทองคำบริสุทธิ์แต่หลวงพ่อเงินจำพรรษาอยู่ที่วัดคงคารามนั้นท่านก็อยู่ได้เพียง 1 พรรษาพระหลวงพ่อโห้เป็นพระนักเทศน์นักแหล่ส่งเสียงดังซ้อมเช้าซ้อมเย็นซึ่งผิดกับจริยวัตรของหลวงพ่อเงินที่รักความสงบท่านจึงจำต้องย้ายออกจากวัด ไปอยู่ที่วัดตะโกซึ่งลึกเลยเข้าลำน้ำสายเก่าเดิมมา "ชาติเสือต้องไม่ขอเนื้อใครกิน"เป็นประโยคที่หลวงพ่อเงินมาพูดกับญาติโยมที่เข้าไปเยี่ยมเยียนกราบนมัสการท่านเสมอ จะทำให้ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองพิจิตรไม่ว่าวันหยุดหรือวันธรรมดาก็มีญาติโยมและเวียนเข้าไปหาไม่เว้นแม้แต่ละวัน เมื่อหลวงพ่อเงินย้ายจากวัดบางคลานใต้หรือวัดคงคารามมาแล้วนั้นท่านได้หักกิ่งต้นโพธิ์มาด้วย 1 กิ่งและอธิษฐานขณะปักว่าถ้าจะเจริญรุ่งเรืองแผ่ไพศาลก็ขอให้ต้นโพธิ์นี้เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไปด้วยเถิด แล้วก็เป็นจริงสมดังปรารถนาของท่านหมื่นต้นโพธิ์นั้นขจรขจายเติบโตแตกกิ่งก้านสาขาไปไกลกลายเป็นต้นไม้ใหญ่สวยงาม ในช่วงเวลาที่หลวงพ่อเงินยังมีชีวิตอยู่นั้นท่านได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังมากมายโดยเฉพาะวัตถุมงคลของท่านโด่งดังขนาดที่ว่ามีพ่อค้าชาวจีนที่ตลาดสำเพ็งต้องนั่งรถมาหาท่านถึงที่จะได้รับพระเครื่องจากมือของท่านซึ่งสมัยก่อนการเดินทางเป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก ขอยกตัวอย่างอภินิหารความศักดิ์สิทธิ์ของท่านที่ได้รับมาจากพระครูวิจิตรวุฒิกรอดีตเจ้าอาวาสวัดท้ายน้ำได้รับการบอกเล่ามาจากญาติโยมอีกต่อหนึ่งว่าหลวงพ่อเงินเคยขัดใจกับพี่ชายของท่านซึ่งพี่ชายของท่านเป็นหมอยารักษาโรคแผนโบราณใครที่เจ็บไข้ไม่สบายก็ต้องมารักษากับพี่ชายของท่านเพียงแต่พี่ชายของท่านนั้นเป็นคนขี้เมาชอบดื่มสุราทุกเย็นหลังเลิกงานก็จะเห็นภาพพี่ชายของท่านเดินเมาอาละวาดอยู่ทุกครั้งไปมีอยู่ครั้งหนึ่ง ควายของพี่ชายหลวงพ่อเงินและควายของหลวงพ่อเงินนั้น เกิดขวิดกันเอง แล้วขวิดกันอยู่นานมากที่สุดท้ายควายของพี่ชายของเพื่อนก็เกิดแผลเลือดออกเต็มตัว แต่ควายของหลวงพ่อเงินนั้นกลับไม่มีแม้แต่แผลถลอกนิดเดียว ด้วยความที่พี่ชายหลวงพ่อเงิน เมาอยู่จึงได้โกรธและตัดสินใจเข้าไปหาเรื่องหลวงพ่อเงินว่า "เขาว่าท่านเก่งนักหรือไงท่านเงิน "หลวงพ่อเงินได้ยินดังนั้นจึงไม่ตอบอะไรเพียงพูดสั้นๆตอบกลับไปว่า"ข้าจะเก่งได้อย่างไรถ้าเป็นเพียงสงฆ์"หลังนั้นพี่ชายได้กลับบ้านไปหยิบปืนมาพร้อมกับเล็งไปที่หลวงพ่อเงิน และตัดสินใจยิงหลวงพ่อเงิน 3 นัดติดกันแต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่าปืนกลับยิงไม่ออกและมีน้ำไหลออกจากปากกระบอกปืนแทน เรื่องนี้เป็นที่เล่าขานโด่งดังเป็นอย่างมาก ในช่วงสุดท้ายของชีวิตของท่าน ญาติโยม ก็เห็นพ้องต้องกันว่าให้เก็บร่างของท่านไว้สัก 1 ปีก่อนเพื่อที่จะไม่ให้วัดเงียบเหงาเกินไป หลังจากนั้นยังแทบไม่ทันถึงเวลาเก็บอัฐิของหลวงพ่อเงินเลยบรรดาญาติโยมต่างๆที่เคารพนับถือท่านต่างก็พากันแย่งวัตถุมงคลข้าวของเครื่องใช้แม้แต่กระดูกของท่านก็ไม่เว้นในช่วงเวลาเพียงแค่แป๊บเดียวทุกอย่างก็หายไปในพริบตา แม้แต่ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่หลวงพ่อเงินได้เคยปักกิ่งอธิษฐานเอาไว้ เมื่อทานได้สิ้นชีวิตลงแล้วพระครูวิบูลย์ธรรมนิเวศน์ก็ได้ทำการสร้างพระอุโบสถใหม่จึงอธิษฐานขอตัดกิ่งต้นโพธิ์นั้นเสียในที่สุดพระครูวิบูลย์ธรรมนิเวศน์จึงได้ตัดสินใจจุดธูปเทียนขอขมาหล่อหลวงพ่อเงินซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่งว่าต้นโพธิ์ต้นนั้นก็หักลงมาเองโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เศษต้นไม้ต้นโพธิ์ต้นนั้นทางวัดให้นางจันทร์ชาวบ้านในละแวกนั้นมาจากการเลือกเป็นท่อนๆแล้วเผาถ่านแบ่งกันคนละครึ่งกับทางวัดแต่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อีกครั้งว่าต่อให้จะเอาอะไรมาจุดไฟต้นโพธิ์นั้นก็ไม่ยอมติดไฟเลยตรงกันข้ามนางจันทร์กับมีรอยไหม้พุพองมองอะไรไม่เห็นฟังอะไรไม่รู้เรื่องเป็นอาการทรมานเป็นที่สุดในค่ำคืนนั้นนางจะลาว่าหลวงพ่อเงินมาเข้าฝันแล้วบอกกับนางว่า"กูให้ของดีเมืองไว้ใช้มึงกลับไม่รู้คุณค่าไปเผาเสีย"เมื่อตกใจตื่นขึ้นจึงตื่นขึ้นมาอธิษฐานขอขมาลาโทษต่อท่านต่อมาไม่นานทุกข์ทรมานก็หายไปแล้วกลับคืนสู่ปกติ อนิจจังทุกขังอนัตตาทุกอย่างล้วนไม่เที่ยงแม้แต่ต้นโพธิ์ที่ปลูกเอาไว้จนเติบใหญ่ก็กลายเป็นพระไม้โพธิ์แทน สัปคับที่ท่านนั่งบนหลังช้างก็กลายเป็นตะกรุดจนไม่เหลืออะไรไว้ศาลเด็กรุ่นหลัง นี่ก็เป็นอีกนัยคำสอนหนึ่งที่ทำให้เราได้เห็นชีวิตที่แท้จริงเหมือนกัน ใครก็ตามที่อยู่ใกล้เมืองพิจิตรหรือมีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดพิจิตรนอกจากท่านจะได้เที่ยวสถานที่ท่องเที่ยวมากมายมีงานหลายอย่างแล้วก็อยากให้ทุกท่านอย่าลืมแวะเวียนไปที่วัดบางคลานอำเภอโพทะเลแห่งนี้พระวัดแห่งนี้นอกจากจะมีอริยสงฆ์ผู้สืบทอดต่อยอดตำนานพุทธศาสนาให้เติบใหญ่แล้วยังมีประวัติและตำนานอีกมากมายให้น่าค้นหา ไม่แน่ท่านอาจจะได้พบอภินิหารอัศจรรย์จากหลวงพ่อเงิน ก็เป็นได้