คงเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของคนเรา ที่เมื่อต้องทำอะไรซ้ำ ๆ เป็นกิจวัตร อาจจะทำให้มีความเคยชิน หรือพัฒนาเป็นความแคล่วคล่องชำนิชำนาญ แต่ในขณะเดียวกัน ในทางตรงข้าม ก็อาจจะก่อให้เกิดความรู้สึกจำเจ เหนื่อยล้าจากการทำอะไรเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ต่อเนื่อง จนทำให้ความตื่นตัวน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลถึงประสิทธิภาพในการทำสิ่งนั้นลดลงไปเช่นเดียวกับงานเขียนที่มีลักษณะเป็นงานเขียนประจำตามห้วงเวลา เช่น นักเขียนคอลัมน์รายปักษ์ รายสัปดาห์ หรือตามห้วงเวลาที่กำหนด หรือแม้แต่บรรดานักเขียนของทรูไอดีอินเทรนด์ ที่เขียนบทความให้คุณอ่านทางเว็บไซต์นี้ ซึ่งมีกำหนดการส่งงานเขียนได้เป็นประจำทุกวัน เมื่อเขียนไปนาน ๆ เข้า บางทีก็เกิดอาการ "ตันมุก ความสนุก(ในการเขียน) ลดน้อยลง" ได้เหมือนกัน(ภาพโดย Alexas_Fotos จาก Pixabay)ครั้นจะปล่อยให้อาการเหล่านั้นครอบงำนานไป ก็อาจจะส่งผลให้คุณภาพและปริมาณของบทความที่เขียนลดน้อยลงไป ซึ่งคงไม่เป็นผลดีทั้งต่อนักเขียนและผู้อ่านเป็นแน่แท้ผมเคยเปรย ๆ เรื่องนี้กับแฟนสาว ซึ่งเป็นนักเขียนของทรูไอดีอินเทรนด์นี้เช่นกัน แล้วครั้งหนึ่งของการสนทนา เธอเสนอแนะแนวคิดในการเขียนขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า"เราก็คิดซะว่า เขียนบทความให้เหมือนการโพสต์ Facebook จะได้เขียนสนุกและมุกไม่ตันไงพี่..."แนวคิดของแฟนสาวผู้น่ารักยิ่งกว่าสาวใดในโลก ทำให้ผมฉุกคิดและเห็นพ้องด้วย แม้เธอจะไม่ได้ขยายความว่า การเขียนบทความให้เหมือนการโพสต์สถานะบน Facebook ที่เธอกล่าวนั้นมีลักษณะเป็นอย่างไร แต่จากประสบการณ์ที่ร่วมงานกับทรูไอดีอินเทรนด์ และเท่าที่เคยได้รับคำแนะนำ ข้อเสนอแนะในการเขียนจากทีมงานกองบรรณาธิการที่น่ารักและใจดีทุก ๆ คน จึงพอจะนำมาประมวลเป็นแนวทางเปรียบเทียบได้ คือลักษณะตามปกติของคนทั่วไปในการโพสต์สถานะบน Facebook ที่อาจนำมาปรับใช้เป็นลักษณะการเขียนบทความของทรูไอดีอินเทรนด์ได้ คือ1. หยิบยกเอาเรื่องใกล้ตัว เรื่องที่ตนมีความรู้ หรือเป็นเรื่องของตัวเองมาเขียน (ภาพโดย geralt จาก Pixabay)เหมือนการโพสต์สถานะบน facebook ที่ปกติก็จะโพสต์บอกเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวัน หรือแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกในเรื่องที่ตนมีความรู้ ความสนใจ ซึ่งจะบ่งบอกตัวตนของผู้นำเสนอ ว่าเป็นคนที่ถนัด สนใจในเรื่องใด เช่น ด้านกีฬา บันเทิง สุขภาพ ท่องเที่ยว อันจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวผู้เขียน ที่รู้ทิศทางการเขียนของตน ว่าสามารถผลิตผลงานแนวไหนออกมาได้ดี และเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เข้ามาอ่าน ที่จะทราบแนวทางการเขียนของนักเขียนแต่ละราย ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ไม่มีข้อจำกัดว่าจะต้องเขียนเพียงแนวใดแนวหนึ่งเสมอไป หากมีความรู้ความเข้าใจหรือสนใจหลาย ๆ ด้าน ก็จะยิ่งสร้างผลงานได้อย่างหลากหลาย และสนุกไปกับการสร้างผลงาน โดยที่เวทีนักเขียนทรูไอดีอินเทรนด์ก็ยังรองรับ โดยมิได้จำกัดกรอบการเขียนมากเกินไปอยู่แล้ว2. ถ่ายทอดเรื่องราวด้วยภาษาของตัวเอง ตามความเข้าใจหรือความรู้สึกนึกคิดของตน ซึ่งนอกจากจะทำให้สนุกไปกับการเขียนแบบเป็นตัวเองแล้ว สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาก็จะมีความโดดเด่น เป็นเอกลักษณ์ หรือมนต์เสน่ห์เฉพาะตัว เหมือนการทำอาหารหรือขนม ที่แม้จะเป็นเมนูหรือชนิดที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกัน แต่หากมีสูตรเด็ดเคล็ดลับที่ทำให้มีรสชาติความอร่อยเฉพาะตัว ก็จะมีความแตกต่างและเป็นที่จดจำ ติดตามค้นหาของผู้ที่ต้องการเสพสิ่งที่เราผลิต ซึ่งในกระบวนการนำเสนอบทความออนไลน์ ผลงานที่มีลักษณะโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้ ก็จะเป็นแนวทางหนึ่งในการทำ SEO (Search Engine Optimization ) คือลักษณะที่ไวต่อการค้นหาและเข้าถึง ส่งผลและลำดับการปรากฎในระบบแสดงผลการค้นหาผ่านเสิร์ชเอนจิ้น เช่น เมื่อมีผู้ค้นหาบทความลักษณะที่เราเขียนผ่าน Google บทความของเราก็จะปรากฎอยู่ในลำดับต้น ๆ บนหน้าแสดงผลการค้นหา ดังนี้เป็นต้น3. เขียนให้คนทั่วไปอ่านและเข้าใจได้ เหมือนการโพสต์ facebook ที่โดยทั่วไปแล้ว ผู้โพสต์ก็คงต้องการให้เพื่อนในระบบซึ่งปกติมีหลากหลาย ทุกเพศทุกวัยเข้ามาอ่าน ไม่ใช่เขียนเรื่องที่รู้กันเฉพาะกลุ่ม หรือรู้เฉพาะตน จนคนอื่นที่เข้ามาอ่านต้องอุทานว่า "อิหยังวะ!" การเขียนบทความ โดยเฉพาะบทความของทรูไอดีอินเทรนด์ก็เช่นกัน ด้วยความที่กลุ่มผู้ที่เข้ามาท่องเว็บมีหลากหลาย ทุกเพศ ทุกวัย ผลงานที่นำเสนอจึงควรคำนึงถึงลักษณะที่เป็นกลาง ๆ สามารถเข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย4. มีความสุขกับการที่มีคนมาอ่าน มาแสดงความรู้สึก (ภาพโดย Isucc จาก Pixabay)เหมือนเวลาที่โพสต์สถานะบน Facebook แล้วคอยนั่งชื่นชมกับยอดคนที่มากด Like หรือกดแสดงความรู้สึกอื่น ๆ รวมถึงการแสดงความคิดเห็น แชร์สถานะนั้นออกไป เป็น Feedback ที่ทำให้รู้สึกดี และอยากจะสร้างโพสต์ต่อไป ซึ่งเราอาจจับเอาความรู้สึกแบบนี้มาปรับใช้ต่อบทความที่เราเขียน แม้ว่าตอนนี้รูปแบบของบทความของนักเขียนทรูไอดีอินเทรนด์ที่ได้รับการพิจารณาอนุมัติเผยแพร่บนเว็บไซต์ จะยังไม่เปิดให้มีระบบแสดงความรู้สึก ความเห็นหรือแสดงจำนวนผู้เข้าชม ก็ตาม แต่อย่างน้อย ๆ เราก็สามารถสร้างกำลังได้ ด้วยความสุขจากผลตอบรับเบื้องต้น คือ การที่บทความได้รับอนุมัติเผยแพร่ และคอมเมนต์จากกองบรรณาธิการ ผู้ตรวจ ที่จะชื่นชมเสมอว่า ผลงานของนักเขียนมีความน่าสนใจ น่าตื่นเต้น (บางทีเขียนเรื่องเศร้า ยังได้รับคำชมว่าบทความน่าตื่นเต้นน่าสนใจเลย 😁) และในอนาคต หากมีฟังก์ชั่นแสดงจำนวนผู้เข้าชม การเปิดให้ผู้อ่านแสดงความเห็น ความรู้สึก ตอบโต้กับผู้เขียนได้ ก็น่าจะเป็นการเพิ่มความสนุกให้แก่นักเขียนมากยิ่งขึ้นอย่างไรก็ตาม แม้ว่าลักษณะของบทความที่เขียนเพื่อเผยแพร่ของนักเขียนทรูไอดีอินเทรนด์นั้น จะอาจใช้แนวคิดแบบการโพสต์สถานะบน Facebook เพื่อเพิ่มความสนุกในการเขียนได้อย่างที่กล่าวมาข้างต้น แต่ก็ยังมีพฤติกรรมบางอย่างที่อาจใช้ในการโพสต์สถานะบน Facebook ได้ แต่ไม่อาจนำมาใช้ในการเขียนบทความได้ ดังนี้1. การโพสต์สถานะบน facebook ส่วนตัวอาจมีการนำเอาภาพ คลิป หรือเนื้อหาคอนเทนต์ต่าง ๆ ของคนอื่นมาโพสต์ โดยอาจไม่ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย ถ้าไม่ใช่การโพสต์เพื่อหารายได้ (แต่ในทางมารยาทก็ควรให้เครดิตผู้เขียนหรือเจ้าของภาพด้วย )(ภาพโดย mohamed_hassan จาก Pixabay)แต่ในการเขียนบทความของทรูไอดีอินเทรนด์ ต้องไม่ใช้ภาพหรือคลิปที่เป็นการละเมิดลิขสิทธิผู้อื่น เพราะเป็นการใช้ในทางพาณิชย์ หากต้องการนำภาพที่ตนมิได้เป็นเจ้าของ เช่น นำมาจากเว็บไซต์อื่น หรือภาพของคนอื่น มาใช้ประกอบบทความไม่ว่าส่วนใด ก็ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของภาพ และไม่ว่าจะอย่างไร ต้องมีการให้เครดิตภาพที่นำมาใช้เสมอ ทีมบรรณาธิการบางคนถึงกับแจ้งให้นักเขียนใส่เครดิตแม้กระทั่งภาพที่ตนเป็นเจ้าของ หรือให้ใส่ลิงค์ที่มาของภาพ เพื่อตามไปตรวจสอบแหล่งที่มากันเลยทีเดียว ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันปัญหาการถูกร้องเรียนหรือการฟ้องร้องเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ นี่เป็นข้อแตกต่างสำคัญจากการโพสต์สถานะบน Facebook ส่วนตัว ดังที่คุณผู้อ่านคงจะตั้งข้อสังเกตได้ว่า บทความของทรูไอดีอินเทรนด์จะมีการระบุเครดิตที่มาของภาพประกอบบทความเสมอ ซึ่งแทบจะไม่ปรากฎให้เห็นในการโพสต์สถานะบน Facebook ส่วนตัว2. การโพสต์สถานะบน facebook ส่วนตัวอาจไม่ได้มุ่งเน้นเนื้อหาสาระมากนัก บางทีก็โพสต์ไปเรื่อยเปื่อย ระบายอารมณ์ ความรู้สึก มากกว่าใส่ข้อเท็จจริง แต่การเขียนบทความของทรูไอดีอินเทรนด์ จำต้องให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่จะถ่ายทอดไปสู่ผู้อ่าน โดยต้องคำนึงว่า ผู้อ่านจะได้ประโยชน์อะไรจากบทความที่เขียน และบทความที่เขียนต้องมีความยาวไม่น้อยกว่าที่กำหนด คือ ไม่ต่ำกว่า 400 คำ หรือ หนึ่งหน้ากระดาษเอสี่ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ผลงานที่ได้รับการนำเสนอ มีคุณภาพ เป็นที่น่าสนใจ อันจะเป็นช่องทางหนึ่งในการทำให้มีผู้เข้ามาอ่าน มาใช้บริการเว็บไซต์เพิ่มมากขึ้น 3. การโพสต์สถานะบน Facebook ส่วนตัว ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเราอย่างหนึ่ง (ยกเว้นว่าตั้งค่าโพสต์เป็นสาธารณะ หรือโพสต์นั้นไปพาดพิง ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่คนอื่น ก็คงไม่อาจกล่าวอ้างได้) ซึ่งหลังจากโพสต์ไปแล้ว เจ้าของโพสต์อาจจะแก้ไขหรือลบโพสต์นั้นได้ภายหลัง ทำให้หลาย ๆ ครั้งอาจจะไม่ทันใช้ความระมัดระวังในการโพสต์ ทั้งการใช้ถ้อยคำหรือเนื้อหา เพราะคิดว่อาจแก้ไขหรือลบภายหลังได้ แต่สำหรับบทความที่ส่งเข้ารับการพิจารณาเผยแพร่ทางเว็บไซต์ของทรูไอดี เป็นการเผยแพร่บนพื้นที่สาธารณะ อีกทั้งเมื่อเผยแพร่ไปแล้ว นักเขียนไม่สามารถลบหรือแก้ไขบทความได้ด้วยตนเอง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่ต้องตรวจสอบบทความให้ดีก่อนส่งเข้ารับการพิจารณาเผยแพร่ ไม่ควรปัดภาระไปให้กับทีมผู้ตรวจของกองบรรณาธิการแต่ฝ่ายเดียว เพราะอย่างไรเสีย ผลงานที่นำเสนอออกไปก็ได้ชื่อว่าเป็นผลงานของนักเขียนผู้เป็นเจ้าของนั่นเองแนวคิดและแนวทางในการเขียนบทความ โดยเทียบเคียงกับการโพสต์สถานะบน Facebook ส่วนตัว รวมเกร็ดอื่น ๆ ในการเขียนบทความของนักเขียนทรูไอดีอินเทรนด์ที่กล่าวมานั้น เป็นการแบ่งปันแนวคิดและประสบการณ์ ที่ได้จากการเขียนและคำแนะนำที่ค่อนข้างหลากหลายของทีมบรรณาธิการ ซึ่งผมนำมาประมวลและเล่าสู่กันฟังตามความเข้าใจของผมเอง เผื่อจะเป็นประโยชน์สำหรับคุณผู้อ่านที่อยากจะปลุกไฟความเป็นนักเขียนในตัวเอง ด้วยการสมัครเจ้ามาเป็นนักเขียนของทรูไอดีอินเทรนด์ ที่ยังคงเปิดรับสมัครอยู่ จะได้พอมองแนวทางการเขียนให้ได้ผลดีเพราะผมเชื่อว่า การเรียนรู้จากผู้อื่น มีความสำคัญไม่น้อยกว่าการเรียนรู้ด้วยตัวเองภาพปกบทความโดย Alexas_Fotos จาก Pixabay