เขาค้อมาราธอน เป็นงานวิ่งมาราธอนที่ถูกจัดขึ้นในเดือนมีนาคม ของทุก ๆ ปี ที่ไร่ Jolly land ตำบลแคมป์สน อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นงานประจำปีของที่นี่เลยก็ว่าได้ และเมื่อวันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมา ก็เป็นวันที่จัดงานวิ่งเขาค้อมาราธอน 2020 เมื่อเห็นภาพบรรยากาศของงานวิ่ง ก็ทำให้หวนรำลึกถึงเมื่อครั้งที่เราได้มีโอกาสเข้าร่วมการแข่งขันในปี 2018 จำได้ว่างานวิ่งเขาค้อมาราธอน 2018 นั้น ถูกจัดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม ซึ่งเรานั้นได้เข้าร่วมการแข่งขันในระยะฮาล์ฟมาราธอน และเป็นฮาล์ฟมาราธอนแรกของเราเสียด้วยค่ะ... เขาค้อมาราธอน มีคำร่ำลือกันปากต่อปากว่า เป็นสนามแข่งขันมาราธอนที่สุดแสนจะโหดอีกสนามหนึ่ง จนบางคนถึงกับบอกว่า งานนี้ไม่น่าเรียกว่าเป็นสนามวิ่งมาราธอน แต่ควรเรียกว่าเป็นสนามวิ่งเทรลเสียมากกว่า ด้วยลักษณะเส้นทางที่เป็นทางขึ้นลงเขาตลอดทั้งการแข่งขัน ถ้านับภูเขาเป็นลูก ๆ ในระยะฮาล์ฟมาราธอนที่เราลงแข่งขันนี้ ก็น่าจะนับได้ประมาณ 2-3 ลูกเลยค่ะ แต่ติดตรงที่ว่าตลอดทางนั้นเป็นทางเรียบ ไม่ทางลาดยางก็เป็นทางคอนกรีต มีบ้างที่เป็นทางดิน แต่ก็ไม่มีอุปสรรคขวากหนามให้ต้องฝ่าฟันไปมากกว่านั้นค่ะ จะมีก็เพียงแต่... การวิ่งขึ้นลงเขานั่นแหละค่ะ จนงานวิ่งมาราธอนนี้ถูกขนานนามอีกชื่อหนึ่งว่า "เข่าท้อมาราธอน" ภาพผู้เขียน วันรับเสื้อที่ระลึกและ BIB ก่อนเริ่มงานวิ่งแข่งขัน ครั้งนั้น เรามีเวลาเตรียมตัวและฝึกซ้อมก่อนลงแข่งขันประมาณ 5 เดือน ซึ่งในระยะเวลา 5 เดือนนี้ไม่ได้ซ้อมความชันแต่อย่างใด เพราะด้วยประสบการณ์ในการวิ่งยังน้อยอยู่ มีเพื่อนในวงการวิ่งเตือนมาบ้าง ว่าสนามค่อนข้างโหดไม่ควรเลือกเป็นสนามมาราธอนแรกของตน แต่ก็ไม่ทันแล้วค่ะ เพื่อนเตือนช้าไป เพราะเตือนในเวลาที่ใกล้วันแข่งขันเข้ามาเสียแล้ว ยังไงก็ต้องไปต่อค่ะ ในวันแข่งขัน เราออกจากที่พักในเวลาประมาณ 03:00 น เนื่องจากที่พักอยู่ใกล้กับ Jolly land และอยู่ในระยะที่รถสองแถวรับ-ส่งนักวิ่งวิ่งผ่านพอดี จึงได้ขึ้นรถสองแถวเข้าไปถึงข้างหน้าทางเข้าและเดินเข้าไปนะจุดสตาร์ทอีกทีค่ะ อ๋อ.. ลืมบอกไปว่างานนี้เรามาด้วยใจล้วน ๆ อีกงานค่ะ เดินทางมาที่นี่กับกลุ่มเพื่อนที่มาท่องเที่ยวหลายคน แต่มีเราคนเดียวที่เป็นนักวิ่ง (ใจรักซะอย่าง) เราได้เข้าเช็คอินที่จุดสตาร์ทในเวลาต่อมา มีเสียงดนตรีจากดีเจบนเวทีปลุกเร้าสร้างความฮึกเหิมให้กับนักวิ่ง และมีผู้นำออกกำลังกายเพื่อวอร์มร่างกายก่อนออกวิ่งอีกด้วยค่ะ ภาพโดย : ผู้เขียน จากนั้น ก็ปล่อยตัวนักวิ่งออกสู่เส้นทางที่แสนหฤโหดในเวลาประมาณ 04:30 น. จำได้ว่าตอนนั้นอากาศเย็นมากอุณภูมิอยู่ประมาณ 18-19 องศาเท่านั้น ซึ่งก่อนปล่อยตัวนั้นก็มีอาการหนาวสั่นอยู่มากมายค่ะ งานนี้ ต้องเปิดไฟฉายโทรศัพท์ช่วยส่องทางในการมองเห็นในระยะแรก ๆ หลังจากปล่อยตัวนักวิ่งค่ะ เพราะมีบางช่วงที่เป็นป่าและไม่มีไฟฟ้าส่องสว่างในเส้นทางวิ่ง ซึ่งเราต้องวิ่งเกาะกลุ่มกับนักวิ่งคนอื่น ๆ ไปเรื่อย ๆ ค่ะ จนกว่าจะเจอกับช่วงที่มีไฟฟ้าส่องทาง ช่วงเช้าตรู่ของที่นี่ยังมืดมากและมีดาวพร่างพราวอยู่เต็มท้องฟ้าอีกด้วย ช่วงแรก ๆ ของสนามวิ่งนั้นมีลักษณะเป็นเนินซึมสลับกับทางเรียบ จนเมื่อผ่านเส้นทางแยกช่วงแคมป์สนเข้าไป ก็เริ่มเป็นทางลงเขาซึ่งลงไปเรื่อย ๆ เป็นระยะทางไกลพอสมควร ในความรู้สึกของเราตอนนั้น คือเป็นการลงเขาแบบไม่รู้ที่สิ้นสุดอะค่ะ แต่พอสุดแล้วก็เป็นทางขึ้นเขาที่ต้องใช้กำลังกายและกำลังขาต่อสู้ความชันเป็นอย่างมาก จุดกลับตัวอยู่ที่ระยะกิโลเมตรที่ 12 ตรงนี้นอกจากเป็นจุดให้น้ำ ก็เป็นจุดเช็คพอท์ย มีผลไม้และน้ำเกลือแร่ ให้นักวิ่งจอดพักเพื่อหยิบผลไม้รับประทานและดื่มเกลือแร่เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปอีกด้วย ภาพโดย : ผู้เขียน จากจุดเช็คพอท์ยไป ทางวิ่งจะเป็นลักษณะทางดินระยะทางหนึ่ง จากนั้น เส้นทางจะเข้าสู่โซนที่เป็นรีสอร์ท ซึ่งเป็นจุดที่เป็นสถานที่ที่มีวิวทิวทัศน์สวยงาม ผ่านการขึ้นและลงเขาอยู่เรื่อย ๆ และเป็นจุดที่นักวิ่งสามารถจอดชมวิวดูพระอาทิตย์ขึ้น ซึ่งเป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังพ้นขอบฟ้าขึ้นมาพอดี จากสภาพภูมิอากาศบวกกับสภาพภูมิประเทศของที่นี่แล้วภาพวิวสวยงามมากมายเลยทีเดียวค่ะ หมอกจาง ๆ พร้อมกับแสงสีทองของขอบฟ้า ว้าว!! สวรรค์บนดินชัด ๆ มาถึงจุดชมวิว สภาพจิตใจของนักวิ่งอย่างผู้เขียน ก็ไม่ค่อยแฮปปี้เหมือนภาพวิวที่อยู่ตรงหน้าสักเท่าไร เพราะมีอาการท้อเกิดขึ้นมาในระยะนี้เสียแล้วนั่นเอง จากการตรากตรำขึ้น ๆ ลง ๆ เขามาแล้วสักประมาณ 2 ลูกได้ วิ่งบ้าง เดินบ้าง เดิน ๆ บ่น ๆ บ้าง "ฉันมาทำอะไรที่นี่" "ทำไมฉันต้องมาอยู่ตรงนี้" "นี่ใช่มั้ยที่เขาเรียกว่าอาการเข่าท้อ" "ไปต่อหรือพอแค่นี้" ซึ่งเป็นฉากที่นักวิ่งกำลังต่อสู้กับจิตใจของตนอยู่นั่นเอง และเราก็คิดว่าไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่มีความรู้สึกแบบนี้ เพราะสังเกตว่านักวิ่งคนอื่น ๆ ก็เริ่มหยุดวิ่งและเริ่มเดินกันมาเรื่อย ๆ แบบเรา (555) "กำลังต่อสู้กับใจตัวเองอยู่เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ" ระยะ 5 กิโลเมตรสุดท้าย แผนการวิ่งต้องยืดหยุ่นตามสภาพร่างกายและจิตใจเสียแล้วล่ะค่ะ เพื่อประคองตนให้จบการแข่งขันนี้ให้ได้ จำเป็นต้องใช้การเดินและจ๊อกกิ้งเบา ๆ ไปเรื่อย ๆ ค่ะ คนแล้วคนเล่าที่วิ่งผ่านและแซงเราไป บอกตัวเองเสมอว่า "ปล่อยผ่าน" "เอาแค่จบ" "ยังไงต้องจบงานนี้ให้ได้" พร้อมกับจัดท่าวิ่งผ่านตากล้อง เพื่อแลกกับภาพสวย ๆ ฟอร์มวิ่งดี ๆ แทนซะเลยค่ะ (อิอิ) ภาพผู้เขียนระหว่างอยู่ในการแข่งขัน และอยู่ในช่วงที่ท้อมาก ๆ อีกด้วยค่ะ ถึงแม้ในช่วงสุดท้าย ปากทางเข้า Jolly land นั้น ดูเหมือนจะห่างไกลเกินเอื้อมเสียเหลือเกิน แต่เราก็ได้วิ่งผ่านเข้ามาและถึงเส้นชัยในที่สุด ด้วยเวลา 02.26 ชม. เมื่อมองย้อนกลับไปแล้ว สถิติแรกได้เวลาขนาดนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลยล่ะค่ะ ฮาล์ฟมาราธอนแรกนี้ สอนให้เรารู้ว่า "การฝึกซ้อมนั้นสำคัญ" "การศึกษาเส้นทางในช่วงฝึกซ้อมก็สำคัญ" "การรักษาสภาพจิตใจระหว่างวิ่งสำคัญมาก" ต้องขอบคุณตัวเอง ที่เคยเติมประสบการณ์ใหม่ให้กับชีวิตได้เรียนรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ ๆ ค่ะ งานนี้ เราได้เสื้อฟินิชเชอร์ผิดระยะไป (ได้เสื้อฟินิชของระยะมาราธอน) และได้แจ้งทีมงานกลับไป ทางทีมงานได้จัดส่งเสื้อฟินิชเชอร์ของระยะฮาล์ฟมาราธอนมาให้ในภายหลังทางไปรษณีย์ ต้องขอบคุณทีมงานที่ใส่ใจรายละเอียดข้อผิดพลาดต่าง ๆ ถ้ามีโอกาส เราก็อยากไปเยี่ยมชม "ทุ่งสังหาร" (ทุ่งกังหันลม)ของระยะฟูลมาราธอนเช่นกันนะคะ สักวันจะหาโอกาสไปให้ได้ค่ะ เข่าท้อมาราธอน❣️ สามารติดตามอัพเดทข่าวสารการจัดงานวิ่งที่นี่ Khaokho Marathon