" ความรัก " เป็นสิ่งสวยงาม แต่อาจไม่ได้สวยงามในทุกช่วงเวลา... หลายคู่เวลาผ่านไปอาจยังรักกันดี แต่หลายคู่อาจมีเบื่อหน่ายกันบ้าง !!! วันนี้เรามีเคล็ดลับดีดีในการรักษาความรักนี้ให้สวยงามอยู่เสมอ โดยการออกไป " ท่องเที่ยว " หรือจะเรียกว่า "ทริปกระชับรัก" นั้นเอง..... การที่เราได้มีเวลาออกเดินทางไปในสถานที่ใหม่ๆ ไปในที่ที่ไม่เคยไป ไปสัมผัสกับบรรยากาศใหม่ ๆ กับคนรัก นั้นเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่สามารถช่วยให้คู่รักหลายๆคู่มีความสัมพันธ์และความรู้สึกดีดีต่อกันได้มากขึ้นจริงๆ นี่เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดทริปกระชับรักครั้งนี้ขึ้นมา ทริปที่เราจะพาไปครั้งนี้ อยากแนะนำคู่รักทุกคู่ให้ไปกันนั้นก็คือ ภูทับเบิก และ เขาค้อ ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ สถานที่ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ภูเขาล้อมรอบ มีทะเลหมอก และอากาศที่สดชื่น สิ่งเหล่านี้แหละจะทำให้คู่รักที่ไปนั้นมีความสุข..... ภูทับเบิก เขาค้อ ทริปนี้เป็นทริป 3 วัน 2 คืน แค่...เรารู้ว่าจะได้ไปเที่ยวกับคนรัก เราก็ตื่นเต้นแล้ว และยังได้ทำกิจกรรมร่วมกันในการคิดทริปการเดินทางในระยะเวลา 3 วัน 2 คืนนี้ว่าเราจะไปที่ไหนกันบ้าง ช่วยกันออกความเห็น และวางแผนการเดินทางด้วยกัน เริ่มต้นทริปเราก็มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น ได้พูดคุยกันมากขึ้น แค่เริ่มต้นก็มีความสุขแล้ว เราเริ่มออกเดินทางจากรุงเทพ ฯ เวลาประมาณ 9 โมงเช้า เพราะไม่อยากรีบแต่ตื่นเช้า อยากให้คนขับรถได้นอนพักเต็มอิ่ม เพราะใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพ ฯ-เพชรบูรณ์ อยู่ที่ประมาณ 400 กว่ากิโล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6-7 ชั่วโมง จุดหมายแรกของเราคือ ภูทับเบิก ตั้งอยู่ที่ ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เราเดินทางไปเรื่อยๆและแวะแค่ปั้มเท่านั้น จนถึงที่หมาย ในเวลาประมาณ 4 โมงเย็น เราไม่ได้จองที่พักล่วงหน้า คิดว่าไปหาเอาข้างหน้าคงได้ และก็เป็นโชคดีของเรา ที่มีจุดบริการกางเต็นท์ บนภูทับเบิกที่ยังมีที่พอให้เราสองคนได้พัก ข้างบนภูทับเบิกในช่วงที่เราไปนั้นนักท่องเที่ยวค่อนข้างแออัด บ้านพักที่เป็นหลังๆจะเต็มหมด จะเหลือแค่จุดกางเต็นท์ ต่างๆต้องจอดรถและเดินหาเอา แต่ค่อนข้างหายาก เราจึงจ้างให้เด็กที่อาศัยอยู่บนภูทับเบิกไปหาที่พักให้เราแทน และเรารอยู่ที่รถ ผ่านไปไม่นานเราก็ได้ที่พัก แต่โดนค่าจ้างไปตั้ง 300 แหละ แต่ไม่เป็นไร ถือว่าซื้อความสะดวกและความรวดเร็วแล้วกัน ^^ เราได้ที่พักจุดค่อนข้างสูงเกือบถึงหอวัดอุณภูมิ เป็นจุดกางเต็นท์ที่ชาวบ้านของชุมชนบนภูทับเบิกเป็นคนดูแล คิดค่าเต็นท์และเครื่องนอนทั้งหมด ในราคา 800 บาท ต่อเต็นท์1 หลัง แต่เราขอต่อราคาเหลือ 600 บาท ป้าเจ้าของก็ใจดียอมลดราคาให้ เราไม่ต้องกางเต็นท์เอง จะมีคนมาทำให้หมดเลย ระหว่างรอเต็นท์กางเสร็จ เราสองคนก็ออกไปหาอะไรกิน หิวมากๆ เราหาอะไรกินที่มันง่ายๆและใกล้ที่พัก บนภูทับเบิกจะมีร้านอาหารไม่ค่อยเยอะ ส่วนมากจะมีตามบ้านพักส่วนใหญ่ แต่เราก็โชคดีหาร้านอาหารได้ เขาว่ากันว่ามาภูทับเบิกต้องกิน "หมูกระทะ" ถึงจะฟิน กินหมูกระทะร้อนๆ กับ อากาศหนาวๆ ช่างเข้ากัน แต่...เราสองคนอดกิน เพราะ หมด !!! แต่ไม่เป็นเราก็สั่งอย่างอื่นมากินแทน และพบว่า เมนูกะหล่ำปีผัดน้ำปลาอร่อยมากๆ ผักกรอบและสดมาก กินกับข้าวสวยร้อนๆ ดีอย่างบอกไม่ถูก หรือว่าเราหิว 5555 จะบอกว่าอาหารบนภูทับเบิกราคาค่อนข้างแพงกว่าปกตินิดหน่อย แต่สำหรับเราถือว่ายังรับได้ เมื่อเราทานอาหารค่ำเสร็จก็กลับไปที่พัก เอาของเก็บเข้าเต็นท์ ช่วงที่เราไปเป็นช่วงเดือน พฤศจิกายน ตอนนั้นฝนไม่มีแล้ว แต่อากาศหนาวมาก สิ่งที่ยากที่สุดในการมาทริปครั้งนี้คือ การอาบน้ำ ไม่มีน้ำอุ่นให้อาบนะจ๊ะ การอาบน้ำบนภูทับเบิกในช่วงหน้าหนาวเป็นอะไรที่ท้าทายสุดๆ หนาวจริง หนาวสุดๆ เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว เราก็เตรียมเข้านอน แต่...ด้วยบรรยากาศตอนกลางคืนบนภูทับเบิกนั้นสวยเหลือเกิน มองเห็นดวงดาวชัดมาก ระยิบระยับเต็มทั้งฟ้าไปหมด ทำให้เราสองคนถึงกลับไม่อยากนอน ขอนั่งดูดาวกันสักพักและได้พูดคุยกันเยอะมาก เยอะกว่าเวลาปกติที่เราอยู่ด้วยกัน มันมีความสุขอย่างบอกไปถูก ถือว่าเป็นการตัดสินใจมาทริปนี้ไม่ผิดหวังจริงๆ จุดกางเต็นท์ บรรยากาศตอนกลางคืนบนภูทับเบิก ค่ำคืนแห่งความสุขนั้นช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน...เราสองคนตื่นกันประมาณ 7 โมงเช้า แต่หมอกในช่วงที่เราไปจะไม่มีแล้ว เพราะหมดน่าฝนไปแล้ว เราไปอาบน้ำและหาอาหารเช้ากินกัน ได้เป็นไข่กระทะและข้าวต้มหมูสับ รสชาติใช้ได้เลย จากนั้นก็ไปเดินเล่นหาที่ถ่ายรูปสวยๆ ข้างบนภูทับเบิกจะมีไร่กะหล่ำปีเยอะมาก ไร่กะหล่ำปีสีเขียวระรานตามองคู่กับท้องฟ้าสีครามมันช่างเป็นภาพที่สวยงามเหลือเกิน ได้เดินเล่นและสูดอากาศที่สดชื่น สามารถช่วยชาร์จแบตในร่างกายเราได้มากเลยทีเดียว ไร่กะหล่ำปีกับฟ้าสีคราม เมื่อเดินเล่นและถ่ายรูปจนหนำใจกันแล้ว เราก็เก็บของออกเดินทางช่วงประมาณ 11 โมง ลงจากภูทับเบิกเพื่อไปเที่ยวสถานที่สวยๆในจัดหวัดเพชรบูรณ์ต่อ สถานที่ต่อไปนั้นก็คือ วัดผาซ่อนแก้ว ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 7 ตำบล แคมป์สน อำเภอเขาค้อ เพชรบูรณ์ จะอยู่ไม่ไกลจากภูทับเบิกมา เดินทางไม่ถึง 30 นาทีก็ถึง เป็นวัดที่สวยงามมากและเป็นสถานที่ยอดฮิตของจังหวัดเพชรบูรณ์ เราสองคนไปไหว้พระขอพร และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว จากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ระหว่างทางกลับออกจากวัดเราขับรถไปเจอคาเฟ่ชื่อว่า โรงเตี้ยมสุดขอบฟ้าตั๊กม้อ เห็นรถจอดเยอะมากๆ เราจึงแวะลงไปดูกันสักหน่อย โอ้แม่เจ้า...เป็นคาเฟ่ที่สวยมากจริงๆ บรรยากาศดีมาก อยู่บนเขา และที่สำคัญขนมหวาน เค้กของที่นี้อร่อยมากๆ และแพงมากเช่นกัน แต่ถ้าเทียบกับบรรยากาศที่ได้สัมผัสนั้นถือว่าคุ้มมาก และสัญญาว่าจะต้องได้กลับมาที่นี้อีกแน่นอน ประทับใจสุดๆ คาเฟ่โรงเตี้ยมสุดขอบฟ้าตั๊กม้อ ของหวานและเครื่องดื่มกับบรรยากาศสุดฟิน เมื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศที่คาเฟ่เต็มอิ่มแล้ว ช่วงประมาณบ่ายโมงเราก็ออกเดินทางกันต่อ ไปสถานที่ต่อไปที่เตรียมแพลนกันไว้ นั้นก็คือ The Blue Sky เขาค้อ ที่ตั้งเลขที่ 96 หมู่ 5ตำบล เขาค้อ อำเภอเขาค้อ เพชรบูรณ์ เป็นสถานที่ที่เปิดให้เข้าชมสวนดอกไม้สไตล์อังกฤษ มีสถานที่ถ่ายรูปสวยๆมากมาย และยังมีที่พัก พร้อมร้านอาหาร ถ้าเราไม่ได้จองห้องพัก ก็สามารถเข้าชมสวนดอกไม้และถ่ายรูปเล่นได้ โดยเสียค่าเข้าคนละ 100 บาท เราเข้าไปเดินเล่นและถ่ายรูปจนเพลิน จนถึงเวลาประมาณ 5 โมงเย็น จึงทานข้าวเย็นกันที่นี้เลยThe Blue Sky เดอะบลูสกาย เขาค้อ บรรยากาศภายในบลูสกายและมุมถ่ายรูปสวยๆ เป็นอีก 1 วันที่สนุกและมีความสุขมาก สถานที่ที่เราสองคนไปเป็นสถานที่สวยงามและสร้างรอยยิ้มให้เราทั้งสองคนได้มาก เมื่อใกล้พลบค่ำ เราสองคนขับรถหาที่พักแถวเขาค้อ ได้ที่พักเล็กๆเป็นบ้านไม้หลังกะทัดรัด คืนละ 700 บาท พอได้ที่พักเราสองคนก็ออกไปหาเครื่องดื่มมาดื่มกันสร้างบรรยากาศพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน จนดึกมากจึงเข้านอนกัน ที่เขาว่ากันว่า "เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ'' คงเป็นเรื่องจริง เช้าของวันที่ 3 เราตื่นกันเกือบเที่ยงเพื่อเช็กเอ้าท์ออกจากที่พัก เรานอนกันอย่างเต็มอิ่ม เตรียมตัวเก็บของและออกเดินทางไปเที่ยวกันตามแพลนในทริปของวันสุดท้าย นั้นก็คือ เขาค้อ ทุ่งกังหันลม ที่ตั้ง หมู่บ้านเพชรดำ ตำบล ทุ่งสมอ อำเภอเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่บนเขาค้อจะมีสถานที่ต่างๆอยู่ข้างบนให้เราได้ท่องเที่ยวหลายสถานที่ ที่แรกที่เราไปคือ ไร่ GB และ ทุ่งกังหันลม เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่สวยมากๆ มีดอกไม้เยอะมาก จะเสียค่าเข้าคนละ 60 บาท แต่ข้างในจะไม่มีอะไรมาก มีแค่ดอกไม้ ชิงช้า และกังหันลมให้เราเข้าไปถ่ายรูปสวยๆเท่านั้น ไร่ GB และ ทุ่งกังหันลม จากนั้นเราก็นั่งรถรางไปเที่ยวสถานที่บริเวณใกล้เคียงในบริเวณทุ่งกังหันลมกันต่อ จะเสียค่ารถรางคนละ 20 บาท เรานั่งรถรางไปที่ไร่พิมพ์เสน แลนด์มาร์คที่น่าสนใจของที่นี้คือ ชิงช้ายักษ์ ที่ใครมาจะต้องถ่ายรูปกับชิงช้ายักษ์ตัวนี้ บรรยากาศสวยมากและเราก็สวีทกันมากเช่นกัน >< ไร่พิมพ์เสน / ชิงช้ายักษ์ และที่สุดท้ายที่เราไปกันนั้นก็คือ ทุ่งเบบี้เลิฟจะอยู่ใกล้ๆกับไร่พิมพ์เสนเลย นั่งรถรางมาเช่นกัน เสียค่าเข้าคนละ 100 บาท บริเวณข้างในก็มีจุดให้ถ่ายรูปมากมาย มีสัตว์ต่างๆให้เราได้ไปให้อาหาร เช่น ม้าแคระ แกะ เป็นต้น และมีรูปปั้นเทเลทับบีส์ กับ ตัวการ์ตูนน่ารักๆให้เด็กๆได้ถ่ายรูปมากมาย เราสองคนเดินถ่ายรูปกันจนเมื่อยเลย ทุ่งเบบี้เลิฟ สวนดอกไม้ในทุ่งเบบี้เลิฟ เมื่อเที่ยวจนหนำใจ และได้พักสักพักใหญ่จนเวลาล่วงเลยประมาณ 2 โมงเย็นเราสองคนก็เตรียมตัวเดินทางกลับบ้าน และได้ออกเดินทางจากเพชรบูรณ์ ถึง กรุงเทพฯ ในเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ จบทริปกระชับรักที่สวยงามและมีความสุขมาก การตัดสินใจจัดทริปกระชับรักครั้งนี้ของเราถือว่าประสบความสำเร็จและได้ผลมากกว่าที่คิด เราสองได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น ได้แชร์เรื่องเราของกันและกันมากขึ้น หัวเราะไปด้วยกัน ยิ้มไปด้วยกัน จับมือไปด้วยกัน ตลอดทั้งทริป เก็บภาพความประทับใจ ความทรงจำที่มีความสุข มาเป็นพลังบวกเพิ่มในความรักของเรา และหลังจากกลับทริปครั้งนี้ ความสัมพันธ์ของเราก็กระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตามชื่อ "ทริปกระชับรัก" คู่รักคู่ไหนที่เข้ามาอ่านบทความนี้และอยากนำเคล็ดลับ ทริปกระชับรัก นี้ ลองไปใช้บ้าง ยินดีนะคะ และมาแชร์เรื่องราวของคู่คุณ มาเล่าสู่กันฟังนะคะ ครั้งหน้าเราจะจัดทริปกระชับรักกันที่ไหนมาติดตามกันตอนต่อไป.... เครดิตภาพโดยผู้เขียน กำลังหาที่เที่ยวหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !