แฟชั่นการแต่งกายอย่างหนึ่งของคนไทยที่อาจอวดสายตาได้ไม่แพ้ชาติใดในโลก คือ การแต่งกายด้วยผ้าไทย ที่มีความงดงามเป็นเอกลักษณ์และเสน่ห์เฉพาะตัว และยังคงได้รับความนิยมมาทุกยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นผ้าไทยมาตรฐานทั่วไป หรือผ้าไทยในแต่ละท้องถิ่น ที่มีกลิ่นไอวัฒนธรรมของตนเอง และวันนี้ ผู้เขียนจะขอกล่าวถึงผ้าไทยท้องถิ่นอีกชนิดหนึ่ง นั่นคือ "ผ้าซิ่นหัวแดงตีนก่าน" ภูมิปัญญาของชาวไทหล่มใน อ.หล่มเก่า และ อ.หล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ คำว่า "ผ้าซิ่นหัวแดงตีนก่าน" นั้น มาจากการรวมกันของคำสามคำ คือ "ซิ่น" หมายถึง ผ้านุ่งของผู้หญิง "หัวแดง" เป็นลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของผ้าซิ่นชนิดนี้ ที่บริเวณส่วนบนของผ้าซิ่น ซึ่งเรียกว่า หัวซิ่น จะเป็นสีแดง และคำว่า "ตีนก่าน" นั้นก็เป็นลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่ง คือ ชายผ้าซิ่นหรือที่เรียกว่า ตีนซิ่น นั้น จะเป็นลายขวาง หรือภาษาลาวเรียกว่า ลายก่าน ผ้าซิ่นหัวแดงตีนก่าน เป็นลักษณะผ้าที่เกิดขึ้นด้วยภูมิปัญญาของชาวไทหล่ม ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากลาวล้านช้าง ที่ได้ทอผ้าชนิดนี้ไว้สำหรับสวมใส่ร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ หรือสวมใส่ในชีวิตประจำวัน โดยมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า "ซิ่นหมี่น้อย" หรือ ซิ่นหมี่คั่นน้อย ตามลักษณะของลายผ้าที่มีลวดลายจากการมัดย้อมเป็นลายหมี่เล็ก ๆ น้อย ๆ คั่นสลับกันไปอย่างผสมผสานกลมกลืนและลงตัว ความงามอันเป็นอัตลักษณ์ของผ้าซิ่นนี้ คือ เป็นผ้าซิ่นที่มีองค์ประกอบสามส่วน ได้แก่ หนึ่ง หัวซิ่น ดังที่กล่าวแล้วว่า คือ ส่วนบนของซิ่นที่เป็นสีแดง อันเกิดจากการมัดย้อมด้วยสีจากครั่งหรือฝาง ซึ่งปกติในการนุ่งผ้าซิ่นของคนสมัยก่อนจะเหน็บพกส่วนหัวซิ่นนี้ แต่ปัจจุบันจะนุ่งในลักษณะเปิดเผยหัวซิ่น คือ ปล่อยออกมาโดยไม่ได้เหน็บพก เพื่อเผยให้เห็นความสวยงามของหัวซิ่นที่มีลวดลายมัดย้อมเป็นสีแดงด้วยลวดลายที่มีชื่อเรียกต่าง ๆ เช่น ลายดอกยุ้ม ลายคั่นขิด เป็นต้น สอง ตัวซิ่น คือ ส่วนที่เป็นผ้านุ่งนั่นเอง ซึ่งจะใช้วิธีการทอเป็นสีพื้นในโทนสีเข้ม สร้างลวดลายด้วยวิธีการมัดหมี่ ก่อให้เกิดลวดลายแนวตั้ง เป็นลายขนาดเล็ก คั่นเป็นห้อง ๆ สลับกันไปที่เรียกว่า เป็น หมี่หลัก หมี่รอง หมี่ประกอบ มีหลายลวดลาย เช่น ลายนา ลายปราสาท ลายราชวัตร ลายต้นผึ้ง ลายหมากจับ ลายกระเบื้องคว่ำ-หงาย ลายนาค ลายขอ ลา่ยเสาหลา เป็นต้น ส่วนนี้ของซิ่นถือเป็นส่วนที่ใช้เวลาทำนานที่สุด สาม ตีนซิ่น หรือชายล่างของซิ่น จะทอเป็นลายขวางหรือลายแนวนอนขนาดเล็ก ซึ่งจะตัดกับลายแนวตั้งของตัวซิ่น โดยใช้สีพื้นเป็นโทนสีเข้มเพื่อให้กลมกลืนกับสีของตัวซิ่น แล้วใช้สีโทนสว่าง เช่น เขียว ขาว แดง คั่นสลับเพื่อให้ตัดกันแล้วเกิดความโดเด่นของตีนซิ่น ในการทำผ้าซิ่นหัวตีนตีนก่านนั้น ต้องทำให้ครบทั้งสามส่วนแล้วนำมาประกอบกัน จึงจะสมบูรณ์และสวยงาม โดยในสมัยก่อนสาวไทหล่มจะนิยมสวมซิ่นหัวแดงตีนก่านนี้คู่กับเสื้อแขนกระบอก ผ้าเบี่ยงลายไส้ปลาไหล ดังที่เคยมีคำกล่าวบรรยายถึงการแต่งกายของสาวไทหล่มในยุคสมัยนั้นว่า "หญิงนุ่งซิ่นหัวแดงตีนก่าน ผมเกล้ามวย ถือผ้าเบี่ยงแพร" (ภาพสาวไทหล่มสวมผ้าซิ่นหัวแดงตีนก่าน ผู้เขียนถ่ายภาพจากภาพถ่ายที่จัดแสดงที่หอโบราณคดีเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย จังหวัดเพชรบูรณ์) แต่ปัจจุบันได้มีการประยุกต์โดยนำผ้าซิ่นหัวแดงตีนก่านดังกล่าวมาจัดคู่กับเสื้อที่มีความร่วมสมัยมากขึ้น เพื่อเป็นการอนุรักษ์สืบสานให้ความงามอันเป็นเอกลักษณ์นี้ยังคงอยู่ ซึ่งยังสามารถพบเห็นการนุ่งซิ่นหัวแดงตีนก่านนี้ในพื้นที่ อ.หล่มเก่า หรือ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์ รวมถึงได้การมีประชาสัมพันธ์เผยแพร่วัฒนธรรมนี้ตามงานเทศกาลต่าง ๆ หรือสถานที่จัดนิทรรศการ เช่น พิพิธภัณฑ์หล่มสัก อ.หล่มสัก, หอโบราณคดีเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย เป็นต้น ในความเห็นของผู้เขียน ซึ่งแต่เดิมมิได้มีความรู้หรือความชื่นชอบเรื่องผ้าไทยเป็นพิเศษ แต่จากการที่ย้ายมาทำงานที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ยินและได้เห็นวัฒนธรรมหลาย ๆ อย่างของเมืองนี้ รวมถึงการแต่งกายด้วยผ้าซิ่นหัวแดงตีนก่าน ที่ได้รับการสืบสานและประยุต์ให้มีความร่วมสมัย ก็ทำให้รู้สึกได้ถึงความสวยงามอีกรูปแบบหนึ่งจากภูมิปัญญาท้องถิ่น และมองว่าเป็นวัฒนธรรมการแต่งกายที่ไม่ได้ล้าสมัยไปตามวันเวลาที่ล่วงเลย และหวังว่า นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่งความงดงามจากวัฒนธรรมการแต่งกายของหญิงไทยที่กาลเวลาไม่อาจทำลายลงไปได้ ขอบคุณแหล่งข้อมูลจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์, หอโบราณคดีเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย