5 จุดเช็คอินเขาค้อ ต้องห้ามพลาด ! "หมด Covid แล้วไปไหนกันดี..?" สายเที่ยวทั้งหลายที่ต้องกักตัวอยู่บ้านมานาน ตอนนี้อาจชีพจรลงเท้าจนลงแดงกันแล้วใช่ไหมเอ่ย? อดใจรอกันอีกนิดนะคะ สถานการณ์กำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ระหว่างนี้มาวางแผนจัดทริปกันไว้ก่อนเลยดีกว่า จะได้ไม่เหี่ยวเฉากันไปซะก่อน สำหรับในฤดูฝนแบบนี้ การไปเที่ยวทะเลอาจไม่ได้ดั่งใจสักเท่าไหร่ ลองเปลี่ยนไปเที่ยวเขากันดีกว่าค่ะ เพราะฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่จะได้ยลทะเลหมอกสวย ๆ ยามเช้า และเพลิดเพลินกับดอกไม้กำลังเบ่งบานตามฤดูกาล "เขาค้อ" คือที่ที่อยากแนะนำให้ไปกันสักครั้งค่ะ เขาค้อ ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาเพชรบูรณ์ เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เพราะสามารถเดินทางสะดวก มีหลากหลายกิจกรรมให้ไปเที่ยวชม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทั้งที่เที่ยว ที่พัก คาเฟ่ ร้านอาหาร ไม่ต้องกลัวว่าจะลำบากเลยค่ะ เผลอ ๆ อาจสะดวกสบายกว่าในเมืองเสียอีก หรือใครที่อยากได้บรรยากาศหน่อยก็อาจนำเต็นท์ไปกางนอนเอง สัมผัสอากาศหนาว รอชมทะเลหมอกยามเช้าก็ได้เช่นกัน บทความนี้จะแนะนำ 5 จุดแลนด์มาร์ค ที่ใครไปเขาค้อต้องไม่พลาดไปเช็คอินค่ะ จะมีที่ไหนบ้างนั้น ไปดูกันเลย! 1. สักการะพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว หรือบางคนเรียกว่า วัดพระธาตุผาแก้ว เป็นจุดแลนด์มาร์คด่านแรกของนักท่องเที่ยวเลยล่ะค่ะ ตั้งอยู่บริเวณเนินเขา ก่อนจะขึ้นไปเที่ยวบนเขาต้องผ่านจุดนี้แน่นอน จึงมีทั้งนักท่องเที่ยวขาจรที่แวะมาไหว้พระเป็นสิริมงคล และศาสนิกชนที่ตั้งใจมากราบไหว้และปฏิบัติธรรมอยู่เนืองตา ที่นี่มีความสวยงามโดดเด่น ด้วยองค์พระพุทธรูปหินอ่อนสีขาวนวลรูปองค์ใหญ่ที่ถูกปั้นในลักษณะพิเศษไม่เหมือนที่อื่น คือมี 5 องค์ ซ้อนกัน เรียกกันว่า "มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์" รวมทั้งเจดีย์และศาลาปฏิบัติธรรมที่ถูกออกแบบอย่างสวยงาม ประดับประดาด้วยแผ่นกระจกหลากสีสัน ทำให้วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วกลายเป็นทั้งสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรมและสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมได้ไม่ยากเลยค่ะ บริเวณรอบ ๆ ตัววัด เป็นทิวทัศน์ของภูเขาเรียงรายซ้อนกันสวยงาม และมีสถานที่ปฏิบัติธรรมอยู่บนยอดเขา มีเรื่องเล่ากันว่า วันหนึ่งมีชาวบ้านในหมู่บ้านหลายคน เห็นลูกแก้วลอยอยู่บนฟ้าและลอยหายลับไปในถ้ำบนยอดเขานั้น ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นสัญญาณของความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้า นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อ "ผาซ่อนแก้ว" นั่นเองค่ะ วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ตั้งอยู่ที่บริเวณเนินเขาในหมู่บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ ออกจากตัวเมืองเพชรบูรณ์มาถึงอนุเสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 หล่มสัก-พิษณุโลก แล้วขับต่อไปอีกประมาณ 20 นาที จะเห็นป้าย "พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว" ให้เลี้ยวเข้าไปในซอยนั้นเลยค่ะ ซอยจะแคบหน่อย และรถอาจจะติดเพราะคนเยอะ หรือสามารถไปตาม พิกัด GPS นี้ได้เลยค่ะ วัดเปิดทุกวัน เวลา 08.00 - 16.00 น. แต่แนะนำว่าหากสามารถไปวันธรรมดาได้จะดีมากค่ะ เพราะวันหยุดคนเยอะมากจริง ๆ เก็บรูปสวย ๆ ยากมาก ถ่ายติดแต่นักท่องเที่ยวเต็มไปหมดเลยค่ะ ฮ่า ๆ 2. ดื่มด่ำบรรยากาศคาเฟ่บนยอดเขาที่ PINO LATTE Resort & Café PINO LATTE เรียกได้ว่าเป็นแลนด์มาร์คที่ใครมาเขาค้อแล้วไม่แวะ ก็เหมือนมาไม่ถึงเขาค้อค่ะ ฮ่า ๆ คาเฟ่ชื่อดังตั้งอยู่บนยอดเขา สามารถมองเห็นทิวทัศน์เขาค้อที่สลับซับซ้อนสวยงามได้เพียงแค่มาที่นี่ที่เดียวเลยก็ว่าได้ การเดินทางก็ไม่ยากเลย อยู่ถัดจากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วไม่ไกลนัก ขับรถขึ้นเขามาเรื่อย ๆ จนถึงยอดเขา จะเห็นคาเฟ่ตั้งตระหง่านชัดเจนชนิดที่ไม่จำเป็นต้องดู GPS เลยล่ะค่ะ เป็นโลเคชั่นที่สุดยอดมาก ๆในส่วนของดีไซน์ร้านกาแฟ ก็มีความเก๋ไก๋และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทีเดียวค่ะ ถูกออกแบบในสไตล์โมเดิร์น อาคารรูปทรงสี่เหลี่ยมคล้ายตู้คอนเทนเนอร์ ผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างโครงเหล็กสีดำเข้ม ผนังไม้ ตัดกับสีเขียวของต้นไม้และสีสันของดอกไม้ รายล้อมไปด้วยทิวทัศน์อันสวยงามของเขาค้อ ยิ่งถ้าไปเที่ยวช่วงหน้าฝน ก็จะพบทิวเขาที่ปกคลุมด้วยทะเลหมอกบาง ๆ อยู่ตลอดเวลา อากาศก็จะหม่นน่านอนแบบนี้ทั้งวันเลยค่ะ ถ้าไปวันธรรมดาที่ไม่ค่อยมีคนเยอะจะดีมาก เพราะทางร้านจัด Facilities สำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจไว้อย่างดี จนไม่อยากลุกไปไหนเลยล่ะค่ะ เรื่องรสชาติและราคา นับว่าน่าประทับใจมาก ๆ โดยเฉพาะเมนูลาเต้ร้อนที่กลมกล่อมกำลังพอดี ดีต่อใจในวันอากาศหนาวแบบนี้มาก ๆ เลย สนนราคาก็ไม่แพงเลยค่ะ เมนูร้อนอยู่ที่ประมาณ 50-80 บาท เมนูเย็นอยู่ที่ประมาณ 90-140 บาท และยังมีเมนูอาหารและขนมหวานให้เลือกมากมาย "ราคาหลักร้อยแต่ได้ชมวิวหลักล้าน" ยังไงก็คุ้มยิ่งกว่าคุ้มค่ะ ที่ PINO LATTE ไม่ได้เป็นเพียงคาเฟ่ขายอาหารเครื่องดื่มเท่านั้นนะคะ ที่นี่ยังมีห้องพักให้บริการด้วย แต่มีจำกัดเพียง 5 หลัง เท่านั้น เรียกว่าต้องจองข้ามปีกันเลยทีเดียวค่ะ เพราะวิวบริเวรนี้สุดยอดมาก สามารถมองเห็นวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ที่วัดผาซ่อนแก้วได้ด้วย ดีไซน์ของที่พักจะถูกออกแบบให้มีความเรียบง่ายแต่มีสไตล์ คล้ายกับดีไซน์ของร้าน สนนราคาก็เอาเรื่องอยู่ค่ะ คืนละ 4,000 บาท ในช่วง Low season และคืนละ 10,000 บาท ในช่วง High season พักได้หลายคนค่ะ ราคาอาจสูง แต่ได้สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและวิวหลักล้าน หากใครสะดวก ก็น่าลองไปพักสักครั้งค่ะ สำหรับเพื่อน ๆ ที่สนใจอยากจับจองที่พักไปดื่มด่ำกับบรรยากาศดี ๆ บนยอดเขา สามารถจองห้องพักได้ ที่นี่ เลยค่ะ ร้านเปิดทุกวัน จันทร์-ศุกร์ เวลา 10.30 - 19.00 น. เสาร์-อาทิตย์ เวลา 08.00 - 19.00 น. ค่ะ 3. นอนกินลม ชมทะเลหมอก ฟินกับวิวพระอาทิตย์ตก ณ ที่ทำการไปรษณีย์เขาค้อ บริเวณไปรษณีย์เขาค้อ จริง ๆ แล้วเป็นจุดชมทะเลหมอกในยามเช้าค่ะ และยังเป็นที่สำหรับกางเต็นท์ของนักท่องเที่ยวสายลุย ที่มาปักหลักค้างคืนและพร้อมสำหรับการตื่นมาชมทะเลหมอกยามเช้า แต่ตัวเนินเขาบริเวณนั้นก็สามารถเห็นวิวของพระอาทิตย์ตกได้เช่นกัน สวยงามมาก ๆ เลยล่ะค่ะ ที่ทำการไปรษณีย์เขาค้อมีการตกแต่งสวนดอกไม้สวยงาม ให้เป็นสถานที่สำหรับถ่ายภาพของนักท่องเที่ยวได้ และที่นี่ยังเป็นสถานที่สำหรับติดต่อขอรับบริการต่าง ๆ ของอุทยานฯ ไม่ว่าจะเป็นบริการรถนำเที่ยว บริการเช่าสถานที่ หากนำเต็นท์มาเอง ราคาจะอยู่ที่คนละ 50 บาท แต่หากต้องการเช่าเต็นท์ของอุทยาน ราคาก็มีตั้งแต่ 300-600 บาท แล้วแต่ขนาดค่ะ พร้อมห้องน้ำบริการฟรี ส่วนเรื่องความสะอาดหายห่วงได้เลย หากเป็นบ้านพัก ราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 1,500 บาท พักได้ 6 คน รายได้จากการให้บริการก็จะเข้าสู่ภาครัฐเพื่อนำไปพัฒนาพื้นที่ต่อไปค่ะ แน่นอนว่า ที่นี่คือไปรษณีย์ จึงมีโปสการ์ดจำหน่ายและส่งได้เลยทันทีที่จุดนี้ค่ะ และไม่ไกลจากบริเวณลานกางเต็นท์ จะเป็นตลาดในชุมชน จำหน่ายอาหารหลากหลายให้เลือกรับประทาน และเมนูยอดนิยมสำหรับการนอนบนเขา ก็หนีไม่พ้น "หมูกระทะ" นั่นเอง ฮ่า ๆ ๆ หากเพื่อน ๆ สนใจไปพักแรมที่เขาค้อ สามารถติดต่อจองที่พักหรือสอบถามรายละเอียดได้ ที่นี่ เลยค่ะ "นอนเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี" จริงไหม...ต้องลองไปสัมผัส! 4. เยี่ยมชมสวนผักไฮโดรโปรนิกส์ ปลอดสารพิษ รับกระแสรักสุขภาพ กระแสการบริโภคอาหารคลีนปลอดสารพิษกำลังมาแรง ผักสลัดไฮโดรโปนิกส์จึงได้รับความนิยมอย่างมากจากเหล่าผู้รักสุขภาพ แต่ยิ่งนิยมราคาก็ยิ่งแรง นี่เลยค่ะ สำหรับใครที่อยากได้ผักสลัดไฮโดรฯ ในราคาถูกแสนถูก ก็ต้องมาซื้อจากแหล่งจำหน่ายต้นทางเลยสิคะ หลายคนอาจไม่ทราบว่า "เขาค้อ" ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกผักสลัดไฮโดรโปนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมีผลผลิตต่อวันถึงกว่า 15 ตัน! ที่นี่มีกิจการสวนผักสลัดไฮโดรฯ อยู่หลายฟาร์มทีเดียวตามจุดต่าง ๆ ของภูเขา สามารถแวะเข้าชมและซื้อได้ระหว่างทาง ด้วยสภาพอากาศบนเขาที่เอื้ออำนวยในการจัดตั้งโรงเรือน ทำให้ผักสลัดไฮโดรฯ กลายเป็นอีกหนึ่งพืชเศรษฐกิจสำคัญของชุมชนบนเขาค้อในเวลานี้และนอกจากจะเป็นแหล่งจำหน่ายผักสลัดไฮโดรในราคาที่ถูกแสนถูก เพราะมาซื้อกับแหล่งจำหน่ายโดยตรงแล้ว สวนผักหลายแห่งยังเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมและเรียนรู้วิธีปลูกผักแบบปลอดสารพิษโดยการใช้เทคนิคแบบไฮโดรโปนิกส์นั่นเอง สาธิตทุกขั้นตอน ชนิดที่สามารถนำไปทำฟาร์มผักของตัวเองได้เลยล่ะค่ะ และยิ่งหากมาเที่ยวในช่วงฤดูหนาว นอกจากจะได้ชมความสวยงามของผักสลัดสีเขียวแล้ว ยังได้เก็บผลผลิตจากไร่สตรอว์เบอร์รี่แบบออร์แกนิคที่กำลังลูกดกกลับไปรับประทานกันอีกด้วยล่ะค่ะ หากเพื่อน ๆ สนใจท่องเที่ยวเชิงเกษตรแบบนี้ สามารถติดตามข่าวสารและการอัพเดตตารางกิจกรรมได้ที่ สวนผักครูเฒ่า (อาจารย์วิรัช พละเดช) ที่หน้าเพจ "ครูเฒ่าเขาค้อ ผักไฮโดรโปนิกส์" ได้เลยค่า 5. เที่ยวทุ่งกังหันลม ชมสวนดอกไม้ แลนด์มาร์คยอดนิยมแห่งใหม่ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ "ทุ่งกังหันลม" นั่นเองค่ะ ตั้งอยู่บนยอดเขา สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,050 เมตร บนพื้นที่กว่า 350 ไร่ ในบริเวณเดิมที่เป็นจุดติดตั้งกังหันลมเพื่อใช้ในด้านพลังงาน เพราะบนยอดเขาลมแรงมาก สามารถนำพลังงานลมไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ก่อนหน้านี้มีเพียงเจ้ากังหันลมต้นใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่กี่ต้นเท่านั้นค่ะ ปัจจุบันมีมากกว่า 20 ต้น แล้วล่ะค่ะ ล่าสุดทุ่งกังหันลมได้มีการปรับปรุงภูมิทัศน์ เพิ่มมูลค่าให้กับสถานที่ โดยมีการสร้างให้เป็นสถานที่สำหรับถ่ายรูปที่สวยงามมาก ๆ มีจุดชมวิวที่มองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล ชมวิวได้ 360 องศา แบบพาโนรามาเลยทีเดียว เพิ่มสีสันด้วยทุ่งดอกคอสมอสหลากสี และดอกกุหลาบหลากสายพันธุ์ ให้อารมณ์เหมือนอยู่เมืองนอกยังไงอย่างนั้น เหมาะสำหรับเก็บคอลเลคชั่นภาพถ่ายมาก ๆ เลยล่ะค่ะ ความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง คือมีการจำลองการละเล่นของชาวเขา อย่างการเล่นล้อเลื่อน หรือที่ชาวม้งเรียกกันว่า "ฟอร์มูล่าร์ม้ง" การเล่นโล้ชิงช้า มาให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองเล่นหรือถ่ายรูปคู่กันค่ะ ขายดีทีเดียวล่ะ นอกจากทิวทัศน์ของทุ่งดอกไม้ที่สวยงามแล้ว ยังมีส่วนของแปลงปลูกสตรอว์เบอร์รี่ ให้ได้เลือกซื้อกันจากแปลงสด ๆ ได้เลย รวมไปถึงร้านค้าขายผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาของชาวเขาเผ่าม้ง เรียกว่านอกนั้นจะสวยงามสร้างสรรค์แล้ว ยังเป็นการสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับชาวเขาที่นี่ด้วยค่ะ ที่นี่เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 06.00 น. - 18.00 น. ส่วนการเดินทางนั้นไม่สามารถนำรถยนต์ส่วนตัวเข้าไปเองได้แบบเมื่อก่อนแล้วค่ะ เนื่องจากนักท่องเที่ยวมีจำนวนมาก จึงต้องนำรถมาจอดบริเวณด้านหน้า และใช้บริการรถรางนำเที่ยวเป็นรอบ ๆ ค่าประมาณคนละ 40 บาท และอยู่เที่ยวได้รอบละประมาณ 30 นาที หากเพื่อน ๆ สนใจไปเที่ยวชม สามารถเดินทางตาม พิกัด GPS ได้เลยค่ะ เป็นอีกหนึ่งที่ที่แนะนำว่า "ต้องห้ามพลาด!" จริง ๆ เขาค้อยังมีที่น่าเที่ยวอีกมากค่ะ หากมีเวลาและสะดวกก็อยากเชิญชวนให้ไปเที่ยวกัน เพราะเดินทางได้ไม่ยาก และไม่ไกลเกินไปนัก แถมสิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน สำหรับคนที่ไม่ชอบงานลุยเกินไป ชื่นชมความงดงามมามาก แต่ก็มีบางสิ่งที่แอบใจหายนะคะ เพราะระหว่างทางพบว่าพื้นที่ที่เคยเป็นสีเขียวได้กลายเป็นสีน้ำตาลไปจำนวนไม่น้อยเลย จะเพราะอะไรนั้นไม่อาจคาดเดา แต่อยากฝากให้ทุกคนช่วยกันตระหนักในการรักษาสิ่งแวดล้อมนะคะ อย่างน้อยสิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้คือการไม่ทิ้งขยะเกลื่อนกลาดในที่สาธารณะ เพื่อภูเขาที่ยังเขียวขจีที่รอให้เราไปเที่ยวได้ตลอดเนอะ :) เรื่อง-ภาพ : ดารัณ พันสวะนัด (ผู้เขียน)