ช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ผมกลับไปทำธุระและพักอยู่บ้านพี่สาว อันเคยเป็นที่พักอาศัยในช่วงที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ และยังคงมีข้าวของเครื่องใช้หลายอย่างของผมถูกเก็บรักษาไว้ที่นั่น โดยการดูแลอย่างดีของพี่สาว แม้ว่าช่วงที่ผมตะลอนทำงานต่างจังหวัดจะไม่ค่อยมีโอกาสแวะกลับไปสักเท่าไหร่ก็ตามและในช่วงว่าง ระหว่างพักผ่อน ผมเข้าไปที่ชั้นวางหนังสือที่เก็บสะสมหนังสือส่วนหนึ่งไว้ตั้งแต่หลายปีก่อน รื้อค้นดูหนังสือเก่า ๆ เผื่อจะเอามาอ่าน ซึ่งก็เจอหลายเล่มหนึ่งในจำนวนนั้นคือ หนังสือแปล ปกแข็ง ความหนาสี่ร้อยกว่าหน้า ชื่อเรื่อง "อาทิตย์อุทัยดั่งสายฟ้า" งานเขียนของ ลีโอ รอว์ลิ่ง แปลโดย ปาริฉัตร เสมอแข จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ผีเสื้อ เมื่อปลายปี 2551จำไม่ได้แล้วว่าซื้อมาจากที่ไหน เมื่อไหร่ แต่คาดว่าคงซื้อหลังจากตีพิมพ์ได้ไม่นานนัก และที่สงสัยตัวเองหนักกว่านั้นคือ อะไรเป็นแรงจูงใจให้ควักเงินเกือบสี่ร้อยบาท (ซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะเมื่อคิดจากรายได้ในขณะนั้น) ซื้อหนังสือเล่มนี้มา ในเมื่อจำไม่ได้แล้ว จึงได้เพียงสันนิษฐานว่าน่าจะเพราะอิทธิพลของเสียงลือเสียงเล่าอ้างในวงการหนังสือช่วงเวลานั้นถึงเสน่ห์เฉพาะตัว (เฉพาะเล่ม) อันมีความยั่วยวนชวนให้เป็นเจ้าของ ที่มีพลังมากพอจะกระตุกธนบัตรสีแดงจากกระเป๋าสตางค์ไปแลกหนังสือปกสีเทาทึมเล่มนี้มา เช่นเดียวกับหนังสืออีกหลาย ๆ เล่มของผมที่ได้มาเพราะคำแนะนำ หรือ เสียงลือเสียงเล่าอ้างจำเนื้อหาได้คร่าว ๆ ว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสงคราม จึงลองเปิดทบทวนดูผ่าน ๆ จึงระลึกชาติจากที่เคยอ่านมาได้ว่า หนังสือเรื่องนี้เป็นบันทึกประสบการณ์ของผู้เขียน ในช่วงที่เป็นทหารอังกฤษฝ่ายสัมพันธมิตร เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนจะตกเป็นเชลยศึกของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในเชลยศึกที่ถูกเกณฑ์มาสร้างทางรถไฟสายมรณะที่จังหวัดกาญจนบุรี ประเทศไทยเรา ซึ่งคุณก็คงทราบดีถึงที่มาของชื่อทางรถไฟดังกล่าว ว่าเกิดจากความยากลำบาก และแลกมาด้วยชีวิตของเชลยศึกจำนวนไม่น้อย ที่ต้องเผชิญกับสภาวะที่เหมือนตกนรกทั้งเป็น ลีโอ รอว์ลิ่ง ผู้เขียนเรื่องนี้ได้บันทึกภาพเหตุการณ์ที่ได้สัมผัสด้วยตนเองในช่วงเวลานั้น เป็นภาพวาดและตัวหนังสือ ซึ่งก็คือเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้นั่นเองด้วยความที่เป็นบันทึกเรื่องราวที่คนทั่วไปคงไม่มีโอกาสได้เข้าไปสัมผัส เมื่อมาอ่านและดูสิ่งที่ลีโอ รอว์ลิ่ง ถ่ายทอดในหนังสือเล่มนี้ (ซึ่งก็ต้องยกนิ้วแสดงความชื่นชมให้กับผู้แปลด้วยที่นำเสนอเนื้อหาโดยรักษา "รสชาติ" ของบันทึกต้นฉบับไว้) จึงเหมือนการอ่านนิยายหรือดูหนังชีวิตเรื่องหนึ่ง ซึ่งหากอ่านเอาเนื้อหาก็จะได้อรรถรส ชวนให้ติดตามไปจนจบเล่มได้ไม่ยากแต่สำหรับใครที่มุ่งอ่านเพื่อเสพรสชาติความเป็นวรรณศิลป์ด้วย ในมุมมองของผมก็คงต้องขอพูดตรง ๆ ว่าอาจจะไม่ถึงขั้นทำให้สมอารมณ์หมายได้ เพราะอย่างที่บอกว่า มันคือบันทึกจากความทุกข์ยาก ความเจ็บปวดของผู้เขียน ซึ่งคงไม่ใครมีแก่ใจมาประดิดประดอยถ้อยคำให้สวยหรูเหมือนงานเขียนประเภทอื่น และเท่าที่ทราบจากคำบอกเล่าของสำนักพิมพ์ ว่า หนังสือเล่มนี้ไม่มีการเรียบเรียงหรือขัดเกลาภาษา ถ้อยคำ จากต้นฉบับ ทั้งนี้เป็นไปตามความประสงค์ของผู้เขียน ที่ต้องการคงไว้ซึ่งความรู้สึกนึกคิดและจิตวิญญาณในแต่ละตัวอักษร ที่จะถ่ายทอดมาถึงผู้อ่าน เหมือนข้าวกล้องที่ไม่ผ่านการขัดสี รสชาติอาจจะไม่กลมกล่อม แต่คุณค่าทางโภชนาการยังคงอยู่เต็มร้อย ซึ่งผมมองว่า นั่นคือเอกลักษณ์อันทรงคุณค่าของหนังสือเล่มนี้ ซึ่งในโลกนี้คงมีไม่กี่คนที่จะจับเอาภาพชีวิตในสภาวะบีบคั้นที่ตนกำลังประสบ มาประทับไว้เป็นบันทึกอย่างทันทีทันใด จึงทำให้เต็มไปด้วยกลิ่นไปแห่งความจริง ความคิด ความรู้สึก อัดรวมกันอยู่ในนั้นทุกวันนี้ผมไม่แน่ใจว่า นอกจากที่ร้านหนังสือมือสอง (ที่อาจจะมี) แล้ว หนังสือเล่มนี้ยังถูกวางจำหน่ายอยู่ที่ใดบ้างหรือไม่ ถ้าคุณผู้อ่านท่านใดสนใจ อาจจะลองถามที่ร้านหนังสือชั้นนำ เช่น ซีเอ็ด ที่มีบริการสั่งจองหนังสือ (ถ้ามี) หรือลองถามอากู๋ (google) หรือถามโดยตรงไปยังสำนักพิมพ์ดูก็ได้นะครับภาพประกอบและภาพปกบทความโดย 31singha