หลายๆคนเมื่อถึงเวลา ลาพักร้อนหรือปิดเทอม ก็อยากจะไปหาที่สงบจิตใจ และเข้าถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งวันนี้ผู้เขียนมีประสบการณ์ตรงที่จะทำให้ เราได้ย้อนคิดถึงการกระทำของตนเอง ตั้งจิตให้หยุดนิ่งอยู่ในชั่วขณะ ลืมเรื่องวุ่นวายรอบตัววันนี้เราจะรีวิว การไปปฏิบัติธรรม 3 วัน 2 คืน ที่วัดปัญญานันทาราม จ.ปทุมธานีกันพิกัด : วัดปัญญานันทาราม (Wat Panya Nan Tha Ram) ตำบล คลองหก อำเภอคลองหลวง ปทุมธานี Google maps: คลิกการเดินทาง : มีรถเมล์ชื่อว่า สาย 1008 รังสิต - หนองเสือ เป็นรถสีเขียวผ่านที่หน้าวัดเลย แต่นาน ๆ จะมาที แต่ที่วัดก็จะมีที่จอดกว้างขวางอยู่โทรศัพท์: 086-461-8353ประวัติของวัด : วัดนี้ครั้งแรกไม่รู้จักเลยแต่รู้มาจากเพื่อนร่วมงานว่าเคยไปปฏิบัติธรรมที่นี่แล้วดีนะ ได้มีโอกาสไปสัมมนากับที่ทำงานเลยได้ไปปฏิบัติธรรมที่นี่ ซึ่งประวัติของที่นี่ก็เปิดมานานแล้ว โดยที่นี่ เป็นวัดที่มีชื่อเสียง เพราะว่าเป็นวัดที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ เป็นผู้ก่อตั้งและสร้างขึ้นได้รับการอนุญาตชื่อวัดตั้งแต่ปี 2537 โดยที่ วัดปัญญานันทาราม มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในการจัดค่ายคุณธรรม บูรณาการศาสนธรรมกับการศึกษาในทุกระดับ ซึ่งในวันที่ผู้เขียนไปก็มีนักศึกษาพยาบาลของมหาวิทยาลัยหนึ่งมาปฏิบัติธรรมด้วยเช่นกัน มีการจัด “ค่ายพุทธบุตร” “ค่ายพุทธธรรม” ซึ่งจุดมุ่งหมายของทางวัดคือเพื่อนำข้อคิด ปริศนาธรรม คุณธรรมทุกอย่างที่ได้ปฏิบัติ มาใช้ในการดำเนินชีวิตข้อแนะนำในการปฏิบัติธรรม ที่ต้องรู้ก่อนเข้าลงทะเบียนปฏิบัติธรรมงดมือถือ งดการติดต่อสื่อสารจะดีที่สุด ซึ่งใครที่จะฝากมือถือกับทางวัดก็มีถุงใส่ให้ตอนลงทะเบียนวันแรกงดทานอาหารเย็นเพราะเข้าปฏิบัติธรรมต้องถือศิล 8 การทานตอนเย็นทางวัดจะมีน้ำปานะให้ดื่ม (ดื่มแล้วอิ่มมาก ๆ เช่นน้ำฟักทอง น้ำเต้าหู้ ฯลฯ อยู่ท้องมากเลย)สามารถชำระหนี้สงฆ์ได้ตามกำลังศรัทธา ไม่มีการบังคับนิยมจองมาเป็นหมู่คณะ 60 คนขึ้นไป แต่ต้องโทรจองก่อนมาปฏิบัติธรรมนะกฎระเบียบข้อปฏิบัติเพิ่มเติมและการจองปฏิบัติธรรมเป็นหมู่คณะ (60คน) ของหน่วยงานที่สนใจ ที่เว็บไซต์ของทางวัด : คลิก การปฏิบัติธรรมวันที่ 1 : ซึ่งตอนที่ไปเข้าปฏิบัติธรรมก็มี เริ่มลงทะเบียน มีการฝากโทรศัพท์สำหรับผู้ที่จะฝากโทรศัพท์ด้วย จากนั้นก็นำไปดูที่พักก่อน ที่พักที่นี่จะแยกชายหญิง จากนั้นก็จะมีแจกปลอกหมอน และผ้าห่ม คนละ 1 ผืน ซึ่งพอขึ้นไปด้านบนก็จะเป็นที่นอนแบบ แบ่งเป็นสองฝั่ง คือสามารถเอาเท้าชี้หากันคนละฝั่ง ตรงกลางจะเป็นทางเดิน (คิดภาพเหมือนห้องพักตอนเข้าค่ายพักแรม ลูกเสือ-เนตรนารี ประมาณนั้นเลย) เสร็จแล้วก็ลงไปฟังธรรมะวันแรกเราต้องแต่งชุดขาวมาเลย ไม่ได้มาเปลี่ยนที่วัดเพราะเขาจะมีกิจกรรมตั้งแต่ช่วง เที่ยงเลย จะเน้นในเรื่องของเรียนรู้ปริยัติศาสนา (ศีล) มีการบอกการถือศิลป์ของพระ ของเณร ของผู้ที่มาบวชที่นี่เช่นกัน และการมาถือศิล 8 มีข้อปฏิบัติอย่างไร ทำไมเราต้องมา ทำไมเราต้องถือศิล มีการบรรยายเกี่ยวกับหลักธรรมต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำงาน แล้วก็จะมีให้นั่งสมาธิ 30-45 นาที โดยนั่งกับเสื่อในสวนที่มีพระอาจารย์มาเทศนาธรรม ตอนแรกที่นั่งคือขาเหน็บ ตะคริวกินมาก เพราะแค่ 30 นาทีแต่เมื่อยมาก นั่งไม่อยู่นิ่งเลย จะขยับ เป็นพับเพียบซ้าย ขวา ตลอด แต่ขอบอกว่าทำไปเรื่อย ๆ จะรู้สึกชินในวันก่อนกลับนั่นแหละ 555 ต่อมาก็พาไปฟังธรรมะบนตึกขั้นสอง นั่งเก้าอี้ได้ (เพราะอาจจะรู้ว่าแต่ละคนสีหน้าขาชากันหมดแล้ว) ก็นั่งฟังธรรมะ เสร็จในช่วงบ่ายก็มีการรับประทานอาหาร โดยอาหารนี่นี่จะเป็นชามหลุมในการตัก ส่วนใหญ่อาหารจะเวียนไปเรื่อย ๆ ตามผู้ที่มีกำลังศรัทธามาบริจาค อาจจะสมทบเป็นของเป็นเงิน เพื่อให้ผู้ที่มาปฏิบัติธรรมได้ทาน ซึ่งวันแรกอาหารที่เห็นเขาจะเขียนป้ายไว้เลยว่า บริษัทอะไรมอบให้ ตกตอนเย็นวันแรกก็มีทานน้ำปานะ มีการสวดมนต์ทำวัตรเย็น และเข้านอนตอนประมาณ สามทุ่มครึ่ง และให้ตื่นตอน ตี4การปฏิบัติธรรมวันที่ 2 : ตอนเช้าก็จะมีกิจกรรมกวาดลานวัด นำขยะไปทิ้ง เดินจงกลม กำหนดสมาธิ แล้วเขาก็จะให้กลับไปอาบน้ำแต่ตัว เปลี่ยนเป็นชุดสีขาวทั้งเสื้อและกางเกงเหมือนเดิม วันนี้จะเน้นการปฏิบัติการทำสมาธิ อย่างเช่นทำวัตรเช้าเสร็จก็ทำสมาธิ ช่วงบ่ายก็มีกิจกรรม ธรรมะ มีพระอาจารย์คอยมาบรรยายธรรมและมีกิจกรรมให้ทำงานกลุ่ม นำเสนอ ซึ่งจากการได้ทำกิจกรรมกลุ่ม ก็มักจะเกี่ยวกับจิตวิทยา เช่นคำถามของพระอาจารย์ ให้เล่าเรื่องที่ลำบากใจในการทำงาน ที่สุดของที่สุดที่เคยผ่านมาให้เพื่อนฟังก็เป็นกิจกรรมที่คล้าย ๆ กับการละลายพฤติกรรม ในกลุ่ม ซึ่งการจัดกลุ่มก็จะไม่ใช่จับให้เพื่อนกับเพื่อนไปนั่งด้วยกัน แต่เขาจะมีวิธีการนับเลข และแยกกลุ่มเป็นต้น และมีกิจกรรมวาดรูป เล่าเรื่องราว เช่นคนนึงวาดต้นไม้ อีกคนวาดกุญแจ อีกคนวาด ปลา แต่ต้องนำเรื่องราวเหล่านี้มาสร้างเป็นเรื่องราว จากรูปที่มี ก็เป็นกิจกรรมสนุกดีให้เราได้รู้จักตัวตนของเพื่อน รู้จักความคิดภายใน เข้าใจในเพื่อนมนุษย์ เข้าใจการทำงานร่วมกัน มีการฝึกให้นั่งสมาธิอยู่ตลอด ๆ ครั้งละ 30 นาทีบ้าง เพื่อให้เรานิ่ง คิดทบทวนในกิจกรรมที่ผ่านมาอย่างตกตะกอนว่าเราได้ความรู้อะไรตอน 12.00 น. ก็ทานอาหารกลางวัน โดยสามารถถือไปทานที่สวนได้ หรือจะทานที่ ศาลาอิ่มบุญ ที่เราไปไปตักข้าวก็ได้ การทานต้องทานอย่างมีสติ คือเบามือให้มากที่สุด ตักแค่ไหนทานให้หมด เพราะการทานไม่หมด คือการกินทิ้งกินขว้าง และต้องสงสารคนไม่มีข้าวทาน 1 มื้อของเราสามารถเป็นทานให้กับเพื่อนร่วมรุ่นปฏิบัติธรรมได้ เพราะฉะนั้นต้องตักแต่พอดี ใครที่ไม่อิ่มสามารถเข้าแถวต่อได้ มีน้ำหวานและผลไม้ บางมื้อ อาหารก็รสชาติอร่อยดีนะ บางมื้อก็จะเป็นก๋วยเตี๋ยว เป็นข้าวแกง เป็นข้าวต้ม มีหลากหลายดี ไม่ต้องกลัวเบื่ออาหาร น้ำปานะที่นี่ก็อร่อยมาก แม่ชีมาตักให้ทาน ใจดีมาก ๆ ทานเสร็จก็ต้องลางจานเอง เก็บจานเอง เช็ดจานเองตอนเย็นจะมีการเดินชมวัด พาไปดูตึกต่าง ๆ ภายในวัด ประวัติของวัด สถานที่ต่าง ๆ เช่นห้องสมุด อาคารเฉลิมพระเกียรติ อาคารปฏิบัติธรรม รูปปั้นต่าง ๆ ซึ่งทำให้รู้ว่าที่นี่มีแหล่งชม นิทรรศการต่าง ๆ เยอะมากรวมไปถึง ปริศนาธรรม เป็นแกลอรี่ภาพวาดปริศนาธรรมด้วยและเป็นแห่งแรกในโลก ที่เอาปริศนาธรรมมาทำภาพวาดฝาผนังแบบ 3 มิติจุดที่ 1 พระมหาเจดีย์พุทธคยาจำลอง ที่จำลองมาจากอินเดียจุดที่ 2 ภายในพระมหาเจดีย์พุทธคยา มีภาพปริศนาธรรมแบบ 3 มิติที่แรกในโลก ซึ่งแต่ละภาพก็จะสอดแทรกแง่คิด คำสอนของพระพุทธเจ้าเอาไว้ เช่นการไม่โลภ การโลภหนทางสู่ความวิบัติ หลักธรรมอริยสัจ 4 ในการเดินดูปริศนาธรรมก็จะมีวิทยากรเป็นพระอาจารย์คอยบอกเล่าว่าแต่ละภาพสื่อถึงอะไร คอยเฉลยให้ฟัง ดีมาก ๆตอนเย็น ค่ำ ๆ เสร็จแล้วก็ไปทานน้ำปานะ ทำวัตรเย็น ซึ่งขอบอกว่าวันที่ 2 มีการเดินจงกลม การนั่งสมาธิก่อนสวดทำวัตรเย็นนานกว่าวันอื่น เราต้องฝึกจิตไม่ให้ปวดเมื่อย และในวันนี้ก็เริ่มชินแล้วสามารถนั่งนาน ๆ ได้ เสร็จก็ให้ เข้านอน และตื่นนอนบำเพ็ญประโยชน์ตามปกติตอน ตี 4การปฏิบัติธรรมวันที่ 3 : วันนี้เป็นวันสุดท้าย เช้ามาก็บำเพ็ญประโยชน์และทำกิจธุระส่วนตัวให้เสร็จแล้วมาทำวัตรเช้า และทานอาหารเช้า เสร็จก็ให้ไปจัดเก็บที่นอน เสื้อผ้า ทำความสะอาดที่นอนเอง เช่นซักผ้าห่ม ปลอกหมอน เคลียร์พื้นที่ทุกอย่างให้สะอาดเหมือนตอนเราเข้ามาอยู่ ตกตอนหลังเที่ยงก็จะมีการการสวดพระไตรปิฎกที่ชั้น 3 การสรุปความรู้ และเป็นช่วงเวลาปล่อยให้อิสระเก็บของเตรียมกลับส่วนใครจะชำระหนี้สงฆ์หรือบริจาคก็มาบริจาคได้ความประทับใจ : จากการมาที่นี่ทำให้หลายช่วงเวลาเราต้องมีสมาธิ อยู่กับจิตใจของตนเอง ไม่ติดโซเชี่ยลได้ฝึกการอยู่ร่วมกับผู้อื่นตลอด 24 ชั่วโมงได้รับความรู้ข้อคิดดีดีจากพระอาจารย์ ที่เป็นในเรื่องของ "สนุกในงาน เบิกบานในธรรม" เมื่อเราทำงานเราต้องปรับตัวให้มีความสุข พยายามมองในแง่ดีของงานที่ทำ และเข้าใจวัฏจักรของชีวิตมากขึ้น *ภาพทั้งหมดโดยผู้เขียน