“พิพิธภัณฑ์พระรามเก้า” ท่องโลกในวันเดียว ไดโนเสาร์ตัวโตแยกเขี้ยว... เรียกความสนใจให้เด็ก ๆ หลายคนต้องหยุดมอง แม้พิพิธภัณฑ์พระรามเก้า ต.คลองห้า จ.ปทุมธานี จะเพิ่งเปิด แต่หลายครอบครัวก็รีบพาลูก ๆ มาชมความยิ่งใหญ่ของพิพิธภัณฑ์ไทย ที่เราสามารถเที่ยวได้รอบโลกในวันเดียว ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเด็ก ๆ ที่สนุกเท่านั้น ผู้ใหญ่ที่เข้าไปชม ก็ยังได้ความรู้อีกด้วยพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า ถือเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ ที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้เข้าชมเดินทางตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเราจะต้องเดินเข้าตั้งแต่จุดแรกไปจนสุดทาง ตามที่ผู้ออกแบบได้วางเรื่องราวไว้ เพื่อให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้มากที่สุด และจะทำให้เราเกิดการเรียนรู้ สนุกสาน และมีแรงบันดาลใจ ซึ่งผู้ที่เข้าชมแล้วกลับไปบ้านอยากจะทำสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ จะบอกเล่าเรื่องราวว่า มนุษย์เรามีราก หรือที่มาอย่างไรตั้งแต่อดีต และเราจะเรียนรู้ปัจจุบันเพื่อก้าวสู่อนาคตได้อย่างไรขณะที่การบริการ เรามองว่าการเป็นพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ระดับโลก ไม่ใช่แค่นิทรรศการจะมีความโดดเด่นอย่างเดียว แต่การบริการของเจ้าหน้าที่ ความปลอดภัยของผู้เข้าชม ถือเป็นอีกปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งจะมีเวรยามเจ้าหน้าที่คอยให้ความสะดวกตลอดการเข้าชม โดยเฉพาะความสะอาดของห้องน้ำ หรือร้านอาหารภายในต่าง ๆ เราต้องการยกระดับพิพิธภัณฑ์ไทยให้เทียบเท่ากับระดับโลก ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์พระรามเก้า มีเนื้อที่กว่า 47,400 ตารางเมตร ตั้งอยู่ภายในองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) จ.ปทุมธานี ภายในมีการจัดแสดงการเรียนรู้พระบรมราโชวาท “คำสอนของพ่อ” พอเพียง สมดุล ยั่งยืน เมื่อเข้ามาในพิพิธภัณฑ์จะพบแผ่นจารึกพระบรมราโชวาทของในหลวงรัชกาลที่ 9 ห้องต่อมาเป็นการตามรอยมนุษย์โบราณชนิดพันธุ์ต่าง ๆ ที่มีความสมบูรณ์ และสมจริง ตื่นตาไปกับการเดินทางอันยาวนานของมนุษยชาติ ในห้วงเวลาแห่งวิวัฒนาการอันยาวนานของสิ่งมีชีวิต โดยผู้เข้าชมจะทราบว่า มนุษย์กำเนิดขึ้นเมื่อใด มีชีวิตและความเป็นอยู่อย่างไร และเผ่าพันธุ์ของเราวิวัฒนาการอย่างไร เป็นคำถาม ที่สามารถค้นหาคำตอบได้จากส่วนจัดแสดงนี้ โดยจะมีหุ่นจำลองมนุษย์โบราณ ที่จัดแสดงในโซนนี้ ซึ่งนักวิชาการระดับโลกต่างลงความเห็นว่ามีความสมจริงและถูกต้องตามข้อมูลทางวิทยาศาสตร์จุดต่อมาเป็นการผ่านอุโมงค์ลม ความเร็ว 60 กม./ชม. ในดินแดนแอนตาร์กติกา ทดลองเดินฝ่าลมหนาว ในดินแดนที่ได้ชื่อว่าหนาวเย็นที่สุดในโลก ลมแรงที่สุดในโลก และเดินตามแสงเหนือไปยังขั้วโลกใต้ห้องต่อมาจำลองการเหยียบพื้นหยุ่นของดินในป่าสนของชีวนิเวศไทก้า ความโดดเด่นของชีวนิเวศเขตนี้ คือแนวป่าสนสูงขนาดใหญ่ เป็นเขตที่มีความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศแบบสุดโต่ง คือมีฤดูหนาวยาวนานและมีฤดูร้อนช่วงสั้นๆ ภายในป่าค่อนข้างมืด และชื้น เมื่อใบไม้ร่วงหล่นทับถมกับมอสบนพื้นดิน ทำให้พื้นดินมีความยวบหยุ่นเป็นสัมผัสใหม่ เมื่อมาแล้วต้องทดลองเดินบนพื้นดินในป่าสนจำลองจุดนี้เป็นอีกห้องที่เด็กๆ น่าจะชอบ เพราะได้เดินเล่นบนต้นโอ๊กยักษ์ สัมผัสบรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสี ความโดดเด่นของชีวนิเวศเขตนี้จะมี 4 ฤดูกาลคือ ฤดูใบไม้ผลิ , ฤดูร้อน , ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว การปรับตัวของสิ่งมีชีวิตจึงเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เนื่องจากอยู่ในเขตที่ปริมาณความชื้นเพียงพอ ต้นไม้ในเขตนี้ จึงมีลำต้นสูงใหญ่ เช่น ต้นซีคัวยายักษ์ และต้นโอ๊กยักษ์ ต้นไม้ทั้งสองต้นนี้จำลองไว้ให้ปีนป่าย และเดินชมในโซนนี้ห้องนี้ต้องตื่นตาตื่นใจกับภาพการเคลื่อนไหวลีเมอร์น้อย และร่วมผจญภัยกับผองเพื่อนสัตว์ป่านานาชนิด ในป่าเขตร้อน เป็นชีวนิเวศที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น แสงแดด และน้ำฝนมีบทบาทสำคัญต่อสิ่งมีชีวิต จึงมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง นำเสนอผ่าน 5 พื้นที่สำคัญ ได้แก่ แอฟริกา มาดากัสกา นีโอทรอปิก ปาปัวนิวกินี และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเคลื่อนไหวของลีเมอร์น้อยบ่งบอกถึงการปรับตัวให้สามารถอยู่อาศัยบนต้นไม้ได้หลายตำแหน่งและยังมีส่วนจัดแสดง ที่ให้ชมภาพยนตร์ในหลวงรัชกาลที่ 9 ในบรรยากาศห้องทรงงาน ส่วนนี้นำเสนอหลักคิด การทรงงาน ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยเสด็จพระราชดำเนินไปทุกภูมิภาคของประเทศไทย ทำให้ทรงรับทราบถึงปัญหา และเข้าใจสภาพปัญหาของพสกนิกรที่แตกต่างไปตามสภาพภูมิศาสตร์ จนนำมาสู่การแก้ปัญหาด้วยกระบวนการวิทยาศาสตร์ ทรงมองความสัมพันธ์ของทั้งระบบแบบองค์รวม จึงนำมาสู่โครงการพระราชดำริหลายโครงการ พระเกียรติคุณและพระปรีชาสามารถของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ทั้งในประเทศและสากล**CR ภาพถ่ายทั้งหมดโดยผู้เขียนชมคลิปวีดีโอเพิ่มที่ https://www.youtube.com/watch?v=_3UUDb9iHaM