การออกกำลังกายด้วย ท่าหกสูง (Handstand) ดีต่อสุขภาพอย่างไร? ท่าหกสูง (Handstand) คืออะไร? ท่าหกสูง หรือ ท่า Handstand คือ ท่าออกกำลังกายชนิดหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นท่าออกกำลังกาย "ระดับยาก" เลยทีเดียว เป็นท่าออกกำลังกายประเภท Bodyweight มีลักษณะที่ แขนทั้ง 2 ข้าง ตั้งตรงกับพื้นราบ รับน้ำหนักตัวทั้งหมดแทนขา และหลังตรง ขาชี้ขึ้นท้องฟ้า ใครที่อยากทำ ก็สามารถทำได้ เริ่มจากท่าที่ง่าย ๆ ก่อนก็ได้ แต่ต้องมีการฝึกฝนทุกวัน เพื่อให้ได้ท่าที่สมบูรณ์ ผลดีต่อสุขภาพอย่างไร? ผลดีของการออกกำลังกายด้วย ท่าหกสูง หรือ ท่า Handstand มีดังนี้ ท่าหกสูง หรือ ท่า Handstand นั้น เป็นท่าที่ร่างกายอยู่ในลักษณะกลับหัวทั้งหมด กับแรงโน้มถ่วงของโลก การใช้ชีวิตประจำวันของเรา แรงโน้มถ่วงของโลกและการไหลเวียนเลือดนั้น อยู่ในรูปแบบที่ ไหลลงได้ดีแต่ไหลขึ้นมาเลี้ยงส่วนบน ของร่างกายได้ยาก ร่างกายเราจึงจำเป็นต้องนอนทุกวัน เพื่อให้ร่างกายปรับสมดุลกายไหลเวียนของเลือด หากทำอย่างน้อยวันละ 10 นาที ก็ทำให้การไหลเวียนของเลือดทั้งร่างกายดีขึ้น (มีผลกับการควบคุมความดันเลือด) สมอง จะสามารถพัฒนาขึ้นได้ดี แม้ร่างกายจะแก่ขึ้นก็ตาม เพราะการไหลเวียนของเลือดนั้นนำเข้าสู่สมอง ทำให้สมองได้รับออกซิเจนได้มากขึ้น และรับออกซิเจนได้ดีขึ้นด้วย ระบบประสาท ด้านอารมณ์ เพราะแกนสมอง ได้รับออกซิเจนและเราจะสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น (ดีขึ้นด้วยสติ และ สมาธิ) ความสมดุลต่อการทรงตัวจะดีขึ้น ดวงตาจะได้รับออกซิเจนได้มากขึ้น บรรเทาอาการคนปวดตาเวลาเล่นมือถือนาน ๆ หรือ ทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นาน ๆ ทำให้ไขกระดูกสันหลังทำงานได้ดีขึ้น ทำให้กระดูกข้อมือ ข้อศอก และหัวไหล่ได้ทำงานมากขึ้น บรรเทาอาการปวดแขนได้ ทำให้มีพละกำลังส่วนบนมากขึ้น (ช่วงแขน) ส่วนอันนี้เป็นข้อดีสำหรับคนชอบเที่ยว และชอบถ่ายรูป หากเราทำท่านี้ได้ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ๆ ก็สามารถออกกำลังกายได้ทุกที่ และถ่ายรูปในแนวแปลก ๆ ได้และยังสามารถนำไปดัดแปลงเป็นท่าอื่น ๆ ได้อีกนะครับ ไม่ว่าจะ หกสูงแขนเดียว หรือ วิดพื้นท่าหกสูง ก็ได้ สำหรับคนที่อยากเริ่มต้น กับการออกกำลังกายด้วย ท่าหกสูง (Handstand) เพื่อความต้องการของผู้อ่านที่สนใจ ผมจะสอนให้ตั้งแต่เลเวล 1 กันเลย มีภาพประกอบดังนี้ ท่าที่ 1 เป็นท่ามาตรฐานที่ควรทำได้ อย่างน้อย 10-20 ครั้ง เพื่อกำลังแขนที่ดี (ท่าวิดพื้น) ท่าที่ 2 หาเก้าอี้หรือที่สูงกว่าพื้น วางขา เพิ่มประสิทธิภาพความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหัวไหล่มากขึ้น เพื่อรองรับน้ำหนักทั้งตัวในท่าถัดไป ท่าที่ 3 เป็นท่าที่เริ่มรับน้ำหนักมากขึ้นด้วยการทำขาให้สูงกว่าลำตัว แนะนำให้โฟกัสกลางลำตัวให้ตรง เพื่อการทรงตัวที่ดี ท่าที่ 4 เป็นท่าที่หันหลังเข้ากำแพง ดีดขาขึ้น ให้ตัวตรงกับกำแพง ฝึกการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น ท่าที่ 5 ฝึกให้ตัว ออกห่างจากกำแพง โดยใช้ขายันกำแพงไว้ ทีละข้าง และฝึกเกร็งทั้งตัวให้ทรงตัวในอากาศ โดยไม่พึ่งกำแพง ทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะทำได้ ท่าที่ 6 ฝึกดีดขาขึ้น โดยไม่ใช้กำแพง ยิ่งฝึกฝนบ่อย ๆ ยิ่งทำได้ไว หากทำไปเรื่อย ๆ จะยิ่งทำได้นานขึ้น ข้อควรระวังขณะฝึกฝน หากกลัวเจ็บศรีษะ ขณะฝึกฝน ให้หาหมอนหรือผ้านุ่ม ๆ ลองพื้นไว้ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ อย่าฝึกฝนท่านี้ หลังรับประทานอาหาร เด็ดขาด เพราะจะทำให้อาหารไหลย้อน ระหว่างฝึกฝน ไม่ควรดื่มน้ำ ห้ามงอแขน เด็ดขาด อย่าฝึกฝน ในที่แคบ มากเกินไป สุดท้าย ฝึกฝนบ่อย ๆ และอย่าลืมกินอาหารเพื่อสุขภาพ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอต่อวัน เพื่อให้ร่างกายสมดุลตลอด และไม่ให้ร่างกายป่วยหรือเป็นโรคต่าง ๆ นะครับ ขอบคุณครับ เครดิตภาพทั้งหมดของนักเขียน https://web.facebook.com/profile.php?id=100008998787149