นอกจากซีรี่ส์เกาหลีจะเป็นที่นิยมของคนไทยแล้ว หนังเกาหลีก็เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จ แถมหลายเรื่องยังไปไกลระดับโลก เมื่อไม่นานมานี้ก็หนังเรื่อง Parasite (2019) ที่ได้รับความนิยมได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์อีกด้วย นอกจากความสนุกบันเทิงของหนังเกาหลีแล้ว อีกส่วนหนึ่งที่ผมยอมรับเลยก็คือ "ความกล้า" ในการนำเสนอ ตีแผ่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสังคม วันนี้ผมเลยขอรวบรวม หนังดราม่าเกาหลี ที่ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องจริง ที่แต่ละเรื่องสะท้อนผ่านมุมมองของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ ออกมาได้อย่างสะเทือนความรู้สึกผู้ชม Birthday (2019)ขอบคุณเครดิตภาพจากภาพยนตร์ : Birthday หนังดราม่าที่ได้แรงบันดาลใจจากเหตุการณ์เรือเซวอลอับปางเมื่อปี 2014 เพียงแต่ไม่ได้เล่าถึงเหตุการณ์ความสูญเสียที่ว่า หนังหยิบเอาเรื่องราวผลกระทบที่เกิดเป็นลูกโซ่ตามมา แทนด้วยครอบครัวหนึ่งที่สูญเสียลูกชายไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ เรื่องราวของ ซุนนัม (Do-yeon Jeon) แม่ที่ต้องเลี้ยงดู เยโซล ลูกสาวมาตามลำพัง หลังจากสูญเสีย ซูโฮ (Chan-Young Yoon) ลูกชายคนโตจากเหตุเรือเซวอลอับปาง ที่เธอใช้ชีวิตเพียงลำพังกับลูกสาวไม่ใช่ว่าเธอไม่มีสามี แต่เพราะ จองอิล (Kyung-gu Sol) สามีของเธอต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างประเทศ แล้วไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ในทันที ซุนนัม จึงต้องแบกรับภาระไว้บนสองบ่าเพียงคนเดียว แม้เวลาจะผ่านมานานหลายปี เธอก็ยังไม่สามารถทำใจยอมรับกับความสูญเสียได้ กระทั่งในตอนนี้ที่สามีของเธอกลับมาหา เธอก็ไม่สามารถให้อภัยเขา ที่ปล่อยเธอให้เผชิญเรื่องราวเพียงลำพังคนเดียว หนังถูกสร้างอย่างเข้าอกเข้าใจผู้สูญเสีย เมื่อแต่ละคนภูมิคุ้มกันชีวิตไม่เท่ากัน ปัญหาที่ต้องเผชิญก็แตกต่างกัน บางคนที่มีครอบครัวคอยประคับประคองอยู่เคียงข้างกัน แม้จะยังไม่ลืมความเจ็บปวด แต่พวกเขาก็สามารถเผชิญหน้ากับเรื่องที่เกิดขึ้นได้ เมื่อมีครอบครัวคอยอยู่ข้างๆเหมือนเป็นเบาะรองรับ ตรงข้ามกับ ซุนนัม ที่สามีไม่ได้อยู่เคียงข้างในวันที่สูญเสีย เธอต้องเผชิญความโศกเศร้าเพียงลำพัง ทั้งต้องเก็บกดมันเอาไว้เมื่อยังมีลูกสาวอีกคนให้ดูแล สามีอย่าง จองอิล ที่พยายามกลับเข้ามาในชีวิตสองแม่ลูก จึงต้องพยายามพา ซุนนัม ก้าวข้ามความโศกเศร้าเสียใจไปให้ได้ เพื่อให้ครอบครัวกลับมาเป็นครอบครัวอีกครั้งCart (2014)ขอบคุณเครดิตภาพจากภาพยนตร์ : Cart หนังดราม่าที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง ของกลุ่มพนักงานซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่งในประเทศเกาหลีใต้ ที่บริษัทตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงานใหม่ เมื่อมีการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นทำให้พวกเขาตัดสินใจ ยกเลิกสัญญาพนักงานจ้างทั้งหมดก่อนสิ้นสุดสัญญา พวกเธอจึงตัดสินใจรวมตัวหยุดงานประท้วงอยู่หน้าซุปเปอร์มาเก็ต ยาวนานถึง 512 วันเพื่อเรียกร้องสิ่งที่พวกเธอคิดว่าควรได้รับ หนังเล่าเรื่องราวของ ซุนฮี (Jung-ah Yum) พนักงานแคชเชียร์ที่ตั้งอกตั้งใจทำงานขยันขันแข็งไม่เคยปริปากบ่น เพียงเพราะต้องการได้สัญญาจ้างเป็นพนักงานประจำ กระทั่งทำโอทีโดยไม่ได้เงินค่าจ้างเธอก็ยอม แล้ววันที่เธอรอคอยก็มาถึงเมื่อหัวหน้าเรียกเข้าไปพบและบอกว่า เธอกำลังจะได้บรรจุเป็นพนักงานประจำ ซุนฮี ลิงโลดดีใจยังไม่ทันเสร็จก็ได้รับข่าวร้ายว่า บริษัทตัดสินใจขายกิจการให้กับนายทุนรายใหม่ ซึ่งเจ้าของคนใหม่ตัดสินใจแล้วว่า จะจ้างพนักงาน Out Source เข้ามาทำงานแทนที่พวกเธอ หนังถูกนำเสนอในมุมมองที่พยายามทำให้คนภายนอก เข้าอกเข้าใจ ความชอบธรรมในการเรียกร้องของพนักงาน เมื่อมุมมองจากคนภายนอกที่อาจตั้งคำถามว่า คนงานจะชุมนุมเรียกร้องไปทำไม ในเมื่อมันดูจะเสียเวลาเปล่าและแทบไม่มีหนทางชนะ หนังจึงทำให้คนดูเข้าใจถึงหัวอกของผู้เรียกร้อง ด้วยการให้ ชเวแทยัง (Kyung-soo Do) ลูกชายของ ซุนฮี ตั้งคำถามกับแม่ ก่อนทำให้เขาต้องตกอยู่ในสถานการณ์ความอยุติธรรมแบบเดียวกัน มันจึงสะท้อนถึงบางคนที่อาจตัดสินคนอื่น ทั้งที่ยังไม่รู้เรื่องราวรอบด้านดีพอ ว่าบางทีเราก็ด่วนตัดสินคนอื่นเพียงแค่มุมเดียวที่เห็นไม่ได้ เพราะความจำเป็นของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันAnother Promise (2014)ขอบคุณเครดิตภาพจากภาพยนตร์ : Another Promise หนังเล่าเรื่องราวผ่าน ฮันซังกู (Cheol-min Park) หัวหน้าครอบครัวที่มีอาชีพขับรถแท็กซี่ ที่หวังว่า ฮันยูนมิ (Park Hee-Jung) ลูกสาวของเขา ที่ได้งานใน จินซุง บริษัทยักษ์ใหญ่จะมีอาชีพการงานที่มั่นคง แต่หลังจาก ฮันยูนมิ ทำงานไปได้เพียง 4 ปี เธอก็ล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว จนต้องหยุดงานเพื่อรักษาตัวเป็นเวลานาน ไม่นานนัก ยูนมิ ก็เริ่มได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับอาการป่วยของเพื่อนคนอื่นในโรงงาน ยังไม่ทันที่จะได้รู้ความจริงของอาการป่วย เธอก็เสียชีวิตลงไปเสียก่อน คนเป็นพ่ออย่าง ฮันซังกู ที่เป็นเพียงคนขับรถแท็กซี่ จึงตัดสินใจสืบหาความจริงและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูกสาวของเขา หนังที่สร้างจากเรื่องจริงของหนุ่มสาวชาวเกาหลีใต้ ที่ทำงานในโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเลคทรอนิคส์ ของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศเกาหลีใต้ บางคนได้รับผลกระทบจากสารเคมีที่ใช้ในโรงงานจนป่วยเป็นมะเร็ง ทั้งยังถูกให้ออกจากงานอย่างไม่เป็นธรรม พวกเขาจึงรวมตัวกันลุกขึ้นสู้กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ว่าจะเอาชนะได้หรือไม่ โดยโฟกัสเรื่องราวไปที่ ฮวางซังกิ (Hwang Sang-ki) ชายคนขับแท็กซี่ ที่สูญเสียลูกสาวไปในวัยเพียงแค่ 23 ปีจากโรคมะเร็ง หนังสะท้อนถึงผลกระทบต่อคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม ในโลกทุนนิยมที่เน้นผลผลิตและผลกำไร การดำเนินเรื่องราวครอบคลุมเนื้อหาทั้งในแง่มุม ครอบครัวและการต่อสู้ทางคดีความ รวมทั้งเรื่องของการทำงานที่บางคน อาจมองถึงความภักดีต่อองค์กร เมื่อ “งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข” ทำงานหนักแล้วอาจลืมดูแลตัวเอง เมื่อฟันเฟืองชิ้นเล็กๆมันสึกหลอใช้การไม่ได้ เขาก็เพียงแค่หยิบชิ้นใหม่มาใส่แทนเท่านั้น แต่กับครอบครัวมันไม่มีสิ่งไหนที่สามารถมาแทนที่กันได้Way Back Home (2013)ขอบคุณเครดิตภาพจากภาพยนตร์ : Way Back Home หนังเล่าเรื่องราวของ จองเบ (Soo Go) และเจียงยอน (Do-yeon Jeon) สองสามีภรรยาที่ต้องหอบลูกสาวตัวน้อยออกจากบ้าน ที่ถูกยึดเนื่องจาก จองเบ ดันไปค้ำประกันให้กับเพื่อน แล้วเพื่อนดันตัดช่องน้อยแต่พอตัวผูกคอตัวเองจนเสียชีวิต ทิ้งหนี้สินที่เหลือเอาไว้ให้รับผิดชอบ จองเบ ที่ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาใครจึงตัดสินใจ บากหน้าไปหา ซอมุนโด เพื่อนเก่าที่ทำธุรกิจสีเทา เพื่อนตัวดีก็เลยเสนองานให้ เจียงยอน แอบลักลอบขนอัญมณีเข้าประเทศฝรั่งเศส ทว่ากระเป๋าใบที่เธอถือเดินเข้าไปในฝรั่งเศสนั้นไม่ใช่อัญมณี แต่ดันเป็นโคเคนหลายกิโลกรัม เจียงยอน ถูกส่งตัวเข้าคุกไปอยู่ในบ้านเมืองที่ตัวเองไม่รู้จัก โดยที่ไม่รู้ว่าชะตากรรมต่อจากนี้ของเธอจะเป็นอย่างไร จะได้เห็นหน้าสามีและลูกอีกหรือไม่ หนังสร้างจากเรื่องจริงของ จางมีจอง แม่บ้านชาวเกาหลีใต้ ที่ถูกจับในสนามบินปารีสเมื่อปี 2004 เธอถูกหลอกให้ลักลอบขนโคเคน จาก กายอานา (Guyana) เข้าไปยังฝรั่งเศส ทำให้เธอถูกนำตัวไปคุมขังยังเกาะเล็กๆอย่าง มาร์ตินีก (Martinique) แถบทะเลแคริบเบียน ซึ่งเธอไม่รู้ว่ามันคือส่วนไหนของแผนที่โลกใบนี้ หนังเล่าเรื่องในมุมมองของ เจียงยอน ที่ต้องพบเจอเรื่องราวมากมายขณะถูกคุมขัง ส่วนสามีอย่าง จองเบ ก็ต้องพยายามหาทุกวิถีทาง เพื่อช่วยแม่ของลูกกลับบ้านให้ได้ โดยที่หนังค่อนข้างมีมุมมองต่อเจ้าหน้าที่รัฐในด้านลบ เมื่อเจ้าหน้าที่บางคนมีท่าทีเพิกเฉย ไม่เห็นความสำคัญ ด้านการให้ความเป็นธรรมกับประชาชนของประเทศตนเองเขียนโดยแอดมิน เพจ ปีนรั้วดูหนัง