หากจะถามหาสถานที่ของไทย ที่คนส่วนใหญ่ไปกันเยอะไม่ว่าเทศกาลหรือวันปกติธรรมดา วันหยุดสั้นหรือว่าหยุดยาว เป็นอันต้องมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปอย่างไม่ขาดสาย ทั้งคนไทยหรือแม้แต่ชาวต่างชาติ ผมไม่ได้หมายถึง ทะเล ภูเขา หรือแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติแต่อย่างใด ที่ผมกำลังจะพูดถึงเป็นแหล่ง ยึดเหนี่ยวจิตใจ แหล่งให้ความหวังกำลังใจ ไม่ใช่แค่ความสวยงามของสถานที่ แต่เปี่ยมไปด้วยความอิ่มบุญที่ได้ไป เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว ไม่ผิดจากที่คุณผู้อ่านคิดหรอกครับ ใช่แล้วสิ่งที่ผมจะพาไปวันนี้ คือ วัดเล่งเน่ยยี่ ที่หลาย ๆ คนมักจะไปทำบุญแก้ปีชง กันนั่นเอง พร้อมหรือยัง ไปชมกันเลยวัดเล่งเน่ยยี่ที่ผมไป อยู่ในเขตพื้นที่ บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพมหานคร จะนั่งรถสาธารณะก็แสนจะง่าย หรือจะไปด้วยรถส่วนตัวก็สบาย ส่วนตัวผมเองนั้นใช้วิธีการเดินทางแบบที่ถนัด ก็เป็นรถส่วนตัว ออกจากกรุงเทพมหานคร ไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ถึงจุดหมาย สังเกตุง่ายมีป้ายบอกตลอดทาง เพราะเป็นวัดใหญ่ และค่อนข้างมีชื่อเสียง ลักษณะเด่นเป็นประตูหินขนาดใหญ่ที่ทำจากหินที่นำเข้าจากประเทศจีน มองเห็นแต่ไกลไม่ต้องกลัวหาไม่เจอ ผมไปในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ และเเป็นช่วงที่วัดมีพิธีแก้ปีชงพอดี ก็เลยได้ทั้งเที่ยวและได้ไปแก้ปีชงในเวลาเดียวกันเข้ามาด้านใน บอกเลยตกใจ วัดใหญ่มากผมคิดภาพไม่ออกเลย นี่ขนาดเป็นวัดที่อยู่ในเมืองไทยยังใหญ่โตขนาดนี้ ถ้าเป็นที่จีน สถานที่ต่าง ๆ ของบ้านเขาคงสุดจะบรรยาย มาอยู่ในจุดนี้รู้สึกว่าเราตัวลงลงไปทันที นี่เหรอวัดที่เขาร่ำลือกัน สวยและยิ่งใหญ่ราวกับหลุดเข้าไปในหนังจีนอะไรประมาณนั้น ทำเอาผมไม่รู้จะเริ่มเดินชมจากตรงไหนก่อนผมเดินหาบริเวณที่เขาทำการแก้ปีชง แต่ก็ยังไม่เจอก็เลย ถือว่าไม่เป็นการเสียเวลาก็แวะถ่ายภาพตามจุดต่าง ๆ ภายในวัด ในวัดนี้มีหลายอาคาร มีทั้งอาคารที่เป็นที่กราบไหว้ บูชา องค์พระพุทธรูปต่าง ๆ และมีอาคารที่เป็นที่สำหรับการเรียนการสอนของพระและเณร อีกด้วย ที่นี่มีหลายอาคาร แต่ละอาคารก็มีอีกหลายชั้น ซึ่งแต่ละชั้นจะออกแบบบริเวณโดยรอบให้เหมือนกับว่าเราอยู่ในป่าอยู่กับธรรมชาติ ไม่ว่าจะอยู่ชั้นไหนก็จะต้องมีต้นไม้พุ่มไม้จัดวางอย่างลงตัว ซึ่งเราก็คงเคยเห็นวัดหรือวังของจีนในทีวีมาบ้าง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ที่ประเทศจีนจริง ๆ แต่มีสิ่งที่แตกต่างก็คือ ความร้อนจากแสงแดดเมืองไทยนี่แหละ ถ้าเป็นหน้าหนาวผมว่าเป็นอีกที่ ๆ น่าไปเที่ยวมากที่สุดของวัดในไทยเลยก็ว่าได้ ในทุก ๆ ชั้นของแต่ละอาคารก็จะมีพระพุทธรูป หรือรูปปั้นองค์เทพต่าง ๆ ให้เราไปกราบไหว้ขอพร แต่ผมก็ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องเทพเท่าไรนัก แต่ก็รู้สึกถึงความสวยงาม ความศักดิ์สิทธิ์ มีผู้คนมากราบไหว้แบบไม่ขาดสายเลย ผมใช้เวลาในการเดินขึ้นไปแต่ละชั้น แต่ละห้องเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมงทำเอาหมดพลังงานไปเยอะ แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยอะไร คงเป็นเพราะมันอิ่มอกอิ่มใจที่ได้เห็นอะไรแบบนี้ ขึ้นมาถึงชั้นบนสุดก็ทำให้เราเห็นอีกมุมมมอง ที่มองลงมาจากด้านบน แต่ร้อนมาก เพราะเป็นชั้นที่รับแสงแดดเต็ม ๆ และที่สำคัญเราเดินเท้าเปล่าแบบไม่มีรองเท้า ใครที่คิดจะไปเที่ยว แนะนำให้ใส่ถุงเท้าไปด้วยเวลาถอดรองเท้า อย่างน้อยจะได้มีถุงเท้าไว้รองกันความร้อนจากพื้นปูน และแล้วผมก็ลงมาจนเจอบริเวณที่เขาทำพิธรแก้ปีชง คนเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยเราหรือว่าจะเป็นชาวจีนที่มาเที่ยวในเมืองไทย ต้องต่อแถวซื้อของที่จะนำไปทำพิธีเกือบครึ่งชั่วโมง แม้ว่าจะรอนานแค่ไหน ก็ไม่ทำให้เราเบื่อ เพราะบริเวณรอบ ๆ นั้นจะมีภาพวาด รูปปั้น หรือประวัติเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่ให้เราได้อ่าน เพื่อเพื่มความรู้อีกด้วย ได้แล้วแผ่นทองที่จะใช้ในการแก้ปีชงของผม ในนี้จะให้เราเขียน ชื่อ-นามสกุล และประวัติส่วนตัวเราลงไป พร้อมคำขอพรที่มีตัวอย่างให้เราดู พอกรอกรายละเอียดเสร็จแล้ว จึงเข้าไปอีกห้องเพื่อทำพิธีแก้ปีชง แต่เหมือนเดิม รออีกแล้ว เพราะคนที่มาแก้ปีชงเยอะมาก กว่าจะถึงคิวก็ปาไปอีก 30 กว่านาที แต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดี และได้รับความรู้สึกที่ดีเมื่อได้ทำพิธีแก้ปีชงเสร็จเรียบร้อย เมือได้แก้ปีชง จนอุ่นใจตามต้องการแล้ว เวลาที่เหลือก็เดินดูบริเวณรอบ ๆ มีอีกหลายที่ที่ยังไม่ได้ไปก็เลยใช้เวลาที่เหลือ อย่างคุ้มค่าให้สมกับที่มาครั้งนี้ ทั้งจุดเทียนต่อดวงชะตาตามอายุของเรา อันนี้ผมก็พึ่งเคยทำ เขาจะมีเทียนในแก้วเล็ก ๆ วางไว้ให้เราสามารถหยิบมาเพื่อจุดตามอายุของแต่ละคน ส่วนเรื่องการบริจากนั้นก็แล้วแต่ศรัทธา หยอดที่ตู้บริจากที่อยู่บริเวณนั้น ถัดมาจากที่จุดเทียนต่อชะตาอายุ ก็จะเป็นที่ปิดทอง ผมไม่แน่ใจว่ามันมีขั้นตอนอะไรยังไง น่าจะมีเหรียญให้เรานำไปตั้งด้วย แต่ก็ทำตาม ๆ เขาไป แล้วก็มีอีกหลายอย่าง หลายที่ ก็ใช้เวลาไปหลายชั่วโมง จนถึงเวลากลับ ก็ประมาณบ่ายแก่ ๆ สัก 3-4 โมงเย็น ก็เกรงว่าขากลับเข้ากรุงเทพมหานครรถจะติด ก็เลยต้องจบภารกิจไว้เพียงแค่นี้ แต่ยังไม่ลืมที่จะเก็บภาพความทรงจำสวย ๆ ที่ประทับใจ ตลอดการเดินออกมาจากวัด ก็เป็นอันจบภาระกิจการมาแก้ปีชง ที่วัดเล่งเน่ยยี่ ลืมบอกไปผมพึ่งรู้ว่าที่นี่เป็นวัดเล่งเน่ยยี่ 2 เพราะเห็นเขาว่ากันว่ามีอีกที่ แต่ผมไม่ได้ถามต่อว่าที่ไหนเพราะตอนจะขึ้นรถแล้ว เดี๋ยวเอาไว้ครั้งหน้าผมจะพาไปชมกันว่าวัดเล่งเน่ยยี่อีกที่นั้นอยู่ที่ไหน และสวยงามยิ่งใหญ่แบบที่นี่หรือเปล่า รอติดตามกันนะครับ ส่วนที่วัดนี่ใครอยากมาก็ลองหาเวลาว่างสักวัน มาเที่ยวมาทำบุญกัน รับรองไม่ผิดหวัง คุณจะอิ่มบุญ อิ่มอกอิ่มใจกลับไปอย่างแน่นอน สำหรับบทความนี้ เดินทางมาถึงนาทีสุดท้ายแล้ว ไว้พบกันคราวหน้า ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุขความเจริญตลอดสิ้นกาลนานเทญ สวัสดีภาพบทความทั้งหมดโดย : จุง ชาวไร่