ในทัวร์นาเมนต์ AFC U-23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020 ที่ผ่านมา ทีมชาติไทยได้สร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบเป็น 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ โดยการคุมทีมของหัวหน้าผู้ฝึกสอนอย่างอากิระ นิชิโนะ ต้องยอมรับว่าในทัวร์นาเมนต์นี้ ผู้เล่นทุกคนสามารถงัดเอาศักยภาพส่วนตัวออกมาใช้ได้อย่างเป็นประโยชน์ และสิ่งที่พัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับการแข่งขันซีเกมส์ คือ การเล่นเป็นทีมรวมถึงความมั่นใจของนักเตะแต่ละคน ทั้งสองสิ่งนี้ ทำให้ศรัทธาของแฟนบอลกลับมาอีกครั้ง จนเกิดปรากฏการณ์ที่ตั๋วเข้าชมจำหน่ายหมดในเวลาอันรวดเร็ว หนึ่งผู้เล่นที่แจ้งเกิดได้อย่างเต็มตัวในทัวร์นาเมนต์นี้ คือ โอ๊ต สรวิทย์ พานทอง ด้วยความสามารถที่ยอดเยี่ยมในการตัดบอล ออกบอลและจ่ายบอล ซึ่งในนัดที่ทีมชาติไทยพบกับทีมชาติบาห์เรน เขาเป็นผู้เล่นที่จ่ายบอลมากที่สุดถึง 59 ครั้ง ทำให้หลังจบการแข่งขัน เขาถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในเหล่าแฟนบอล โอ๊ตหรือยิ้มที่เพื่อน ๆ ชอบเรียกเขาแทนชื่อเล่น ด้วยความที่บุคลิกส่วนตัวเขาเป็นคนที่ยิ้มเก่ง จึงเป็นที่มาของฉายานี้ เจ้าโอ๊ตหลงใหลในกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่วัยเด็ก โดยเริ่มเล่นฟุตบอลมาตั้งแต่ชั้นอนุบาล ซึ่งก่อนจะมาเอาจริงเอาจังกับฟุตบอลอาชีพ เขาผ่านการเล่นฟุตซอลและฟุตบอล 7 คนมาก่อน โอ๊ตเริ่มเข้าสู่เส้นทางนักฟุตบอลอาชีพโดยเริ่มเล่นกับสโมสรอัสสัมชัญ ยูไนเต็ด ในช่วงเวลานั้น เขาถือเป็นกำลังหลักของทีมและช่วยให้ทีมมีประตูจำนวนมาก ต่อมาสโมสรเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ก็ได้คว้าตัวเขามาร่วมทีมในวัยเพียง 18 ปีเท่านั้น การลงเล่นในลีกสูงสุดของเขาเกิดขึ้นเมื่อฤดูกาล 2016 โดยลงเล่นในฐานะผู้เล่นสำรอง ซึ่งนัดนั้น เจ้าบ้านอย่างเอสซีจี เมืองทองฯ เปิดบ้านเอาชนะพัทยา ยูไนเต็ดไป 4 - 1 การเดินทางของเขากับเอสซีจี เมืองทองฯ ไม่ง่ายนัก เมื่อในทีมเต็มไปด้วยนักเตะแนวหน้าของไทยลีก แม้จะตื่นเต้นที่ได้อยู่ร่วมทีมกับไอดอลของเขาอย่างธีรศิลป์ แดงดา แต่เส้นทางลูกหนังของเจ้าโอ๊ตถือว่าเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการลับคมฝีเท้า เลกที่ 2 ของฤดูกาล 2017 โอ๊ตจึงถูกปล่อยไปเล่นให้กับสโมสรศรีสะเกษ เอฟซี ด้วยสัญญายืมตัว ฟอร์มการเล่นของเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ จนในฤดูกาล 2018 ได้กลับมาช่วยทีมต้นสังกัดอย่างเอสซีจี เมืองทองฯ อีกครั้ง สัญญาณที่ดีเกิดขึ้นเมื่อโอกาสในการลงสนามของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้เขาก้าวขึ้นมาติดทีมชาติไทยชุด U 21 และ U 23 ตามลำดับ แต่แล้วสิ่งที่นักกีฬาทุกประเภทไม่อยากให้เกิดขึ้น ก็ได้เกิดขึ้นกับเจ้าโอ๊ต เมื่อเขามีอาการบาดเจ็บที่ไหล่จนต้องเข้ารับการผ่าตัด โดยใช้เวลาพักฟื้นและฟื้นฟูร่างกายจนจบเลกที่ 1 ของฤดูกาล 2019 แม้ในเวลานั้น อยากจะกลับมาเล่นให้เอสซีจี เมืองทองฯ แค่ไหนก็ตาม แต่พื้นที่ของเขาแห่งนี้ถูกปิดไปด้วยผู้เล่นชื่อดังเกือบจะทั้งทีม ในเลกที่ 2 เขาจึงตัดสินใจย้ายไปเล่นให้กับทีมโปลิศ เทโรฯ ด้วยสัญญายืมตัว แม้ในช่วงแรกจะเริ่มจากการลงสนามในฐานะผู้เล่นสำรอง แต่เขาก็ใช้เวลาพิสูจน์ตัวเองไม่นานนัก จนทำประตูให้กับทีมโปลิศ เทโรฯ ได้ในที่สุด และกลายเป็นหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญที่พาทีมโปลิศ เทโรฯ กลับขึ้นสู่ลีกสูงสุดอีกครั้ง แม้ในช่วงการแข่งขันซีเกมส์ที่ผ่านมา โอ๊ตจะไม่มีชื่อติดทีมชาติ แต่แล้วด้วยความไว้วางใจจากหัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวญี่ปุ่นอย่าง อากิระ นิชิโนะ ทำให้เขาหวนกลับเข้ามาสู่ทัพช้างศึก U 23 อีกครั้ง แม้การลงเล่นในสนามอาจเปลี่ยนบทบาทไปบ้าง แต่เขาก็เล่นได้อย่างโดดเด่น ซึ่งก่อนเกมส์การแข่งขัน อาจมีความสงสัยในศักยภาพของเขาจากแฟนบอลบางส่วนอยู่บ้าง แต่เจ้าโอ๊ตก็ตอบทุกความสงสัยด้วยฟอร์มการเล่นที่มั่นใจและการตัดบอลจากคู่แข่งที่มีรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ได้อย่างเฉียบคม หลังเกมส์การแข่งขัน ทุกความสงสัยและทุกข้อกังขาหายไปในพริบตา สิ่งที่สะท้อนกลับมาอย่างชัดเจน คือ คำชื่นชมจากแฟนบอล ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในนัดที่ทีมชาติไทยพบกับทีมชาติบาห์เรน จากนักเตะโนเนมที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก เขายกระดับตัวเองได้ขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง จนกลายเป็นผู้เล่นคนสำคัญที่สร้างประวัติศาสตร์พาทีมชาติไทยชุด U 23 ผ่านเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย ในฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย 2020 ได้สำเร็จ แม้โอ๊ตจะถูกสิ่งต่าง ๆ ท้าทายอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บหรือการแข่งขันกันภายในทีมต้นสังกัดที่สูงเอามาก ๆ แต่ฟอร์มการเล่นที่ยอดเยี่ยมในศึก U 23 ชิงแชมป์เอเชีย 2020 ของเขา ก็ได้เป็นสิ่งที่พิสูจน์แล้วว่า เจ้าโอ๊ตหรือเจ้ายิ้ม ผู้ที่มีรอยยิ้มให้กับทุก ๆ สถานการณ์นั้น ไม่เคยที่จะหยุดพัฒนาตัวเอง หากเขาพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่องแบบที่เคยเป็นมา เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า เขาจะสามารถก้าวขึ้นมาเล่นในทีมชาติชุดใหญ่ได้โดยใช้เวลาไม่นาน ขอขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก : Aot Sorawit , Instagram aot_sorawit