ปัญหาโรคระบาดเกิดขึ้นมานานตั้งแต่สมัยอดีต และรัฐไทยได้แบ่งการแก้ไขปัญหาโรคระบาดออกได้เป็น ๔ ยุคสมัยด้วยกันโรงพยาบาลศิริราช ปัจจุบันยุคที่ ๑ ยุคก่อน พ.ศ.๒๔๓๐ ในยุคนี้เกิดเหตุ "โรคห่า" ที่รู้จักกันดีในสมัยรัชกาลที่ ๒ ซึ่งส่งผลให้ราษฎรไทยเสียชีวิตไปประมาณ ๓ หมื่นคน จนแร้งวัดสระเกศต้องมารอจิกกินซากศพเนื่องจากการเผาไม่ทันเป็นความทรงจำที่รู้จักกันดี และในยุคนี้ยังไม่มีการแก้ไขที่ชัดเจนนัก นอกจากใช้ศาสนาเช่นการสวดมนต์เพื่อขับไล่โรคระบาด หรือที่รู้จักในชื่อ "พิธีอาพาธพินาศ"ยุคที่ ๒ พ.ศ.๒๔๓๑-๒๔๙๙ แม้เป็นยุคที่การแพทย์ตะวันตกเริ่มเข้ามาบ้างแล้ว เพราะเป็นยุคที่คาบเกี่ยวตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ ถึงรัชกาลที่ ๕ และแม้กระทั่งมีบทเรียน แต่ก็ยังไม่สามารถป้องกันอหิวาตกโรคระบาดซึ่งเกิดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ.๒๓๙๒ ที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปราว ๔ หมื่นคนมากกว่าการระบาดในสมัยรัชกาลที่ ๒ ได้ จวบจนคณะมิชชันนารีได้ริเริ่มปรุงยาเพื่อช่วยเหลือแล้วก็ตาม อหิวาตกโรคยังระบาดขึ้นอีกครั้งในปี พ.ศ.๒๔๑๖ มีผู้เสียชีวิตไป ๖,๖๐๐ คน ซึ่งลดลงกว่า ๒ ครั้งที่ผ่านมา เป็นจำนวนมากเนื่องจากการแพทย์ด้านตะวันตกที่ก้าวหน้าขึ้นนั่นเองยุคที่ ๓ พ.ศ.๒๔๙๙-๒๔๗๕ ยุคนี้เป็นยุคเริ่มต้นของงานด้านสาธารณสุขในไทยอย่างจริงจัง เกิดกรมพยาบาลขึ้น ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็นกรมประชาภิบาล ก่อนจะเป็นกรมสาธารณสุข โดยมีพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ เป็นเจ้ากรมในปี พ.ศ.๒๔๖๑ โดยมีบทบาทป้องกันและปราบปรามโรคระบาด รวมถึงงานด้านวัคซีน เซรุ่ม และงานด้านกฎหมายสาธารณสุข พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ กรมหมื่นชัยนาทนเรนทร ยุคที่ ๔ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ หลังเปลี่ยนการปกครอง งานด้านสาธารณสุขไทยได้ดำเนินการควบคู่ไปกับงานด้านการเมือง ด้วยนโยบายเพิ่มจำนวนประชากรทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพภายใต้การกำกับและผลักดันจากฝ่ายวิชาชีพแพทย์ ซึ่งส่งผลให้เกิดการจัดตั้งกระทรวงสาธารณสุขในที่สุด ในยุคนี้มีการระบาดของของอหิวาตกโรคขึ้น ๒ ครั้ง คือ ในปี พ.ศ.๒๔๗๘ มีผู้เสียชีวิต ๒,๑๐๘ คน และในปี พ.ศ.๒๔๘๘ ภายหลังการเปลี่ยนจากกรมสาธารณสุขมาเป็นกระทรวงสาธารณสุข สมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามจอมพล แปลก พิบูลสงคราม ปัจจุบัน อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ได้แพร่ระบาดไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ซึ่งถึงแม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อในปัจจุบันจะลดน้อยลงแล้วก็ตาม เรายังควรต้องดูแลตัวเองตามข้อบังคับมาตรฐานองค์การอนามัยโลก ด้วยการล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอลล์ในทุกครั้งที่มีโอกาส ดูแลสุขอนามัยทางเดินหายใจด้วยการสวมผ้าปิดจมูก เมื่อไอหรือจามให้ใช้ข้อพับแขนด้านในปิดปากหรือใช้กระดาษชำระแล้วทิ้งในถังขยะ รับประทานอาหารที่ปรุงสุกแล้ว รวมทั้งหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ผู้ที่มีอาการไอ หรือจามรูปภาพหน้าปก pixabay.comภาพประกอบขอบคุณ pixabay และ วิกิพีเดียรูปที่ 1 / รูปที่ 2 / รูปที่ 3 / รูปที่ 4